กายภาพบำบัดหลังผ่าตัด

การทำกายภาพบำบัดหลังการผ่าตัด (Post-Operative Rehabilitation) ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญอย่างมาก ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีการฟื้นตัวที่ดี เร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้สามารถกลับมาใช้งาน ทำกิจกรรม หรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้น
ผู้ป่วยและญาติส่วนใหญ่ไม่เล็งเห็นความสำคัญของการทำกายภาพบำบัด โดยมองว่าสิ้นเปลือง ยุ่งยาก หรือการทำกายภาพบำบัดขณะอยู่โรงพยาบาลก็เพียงพอแล้ว ส่งผลให้การฟื้นตัวนานขึ้น การเคลื่อนไหวไม่เป็นปกติ คุณภาพชีวิตลดลง ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงประโยชน์ของการทำกายภาพบำบัดหลังผ่าตัด จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยและญาติ เรามาดูประโยชน์ของการทำกายภาพบำบัดหลังผ่าตัดกัน…
ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด (Complications)
- อาการปวด (Pain)
- อาการบวม อักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณที่ผ่าตัด (Soft tissue swelling or inflammation)
- กล้ามเนื้อลีบฝ่อ หรืออ่อนแรง (Muscle atrophy or muscle weakness)
- ข้อต่อยึดติด (Joint stiffness)
- อาการชา ปวดตามแนวเส้นประสาท (Numbness or neuropathic pain)
- ความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆลดลง (Reduce functional activity)
ควรเริ่มเมื่อไหร่
การทำกายภาพบำบัดหลังการผ่าตัด สามารถเริ่มได้เร็วที่สุดภายหลังการผ่าตัด 1-2 วัน ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วย อายุ รูปแบบการผ่าตัด บริเวณที่ได้รับการผ่าตัด ข้อจำกัดต่างๆหลังการผ่าตัด เช่น ผู้ป่วยบางรายต้องพักฟื้นในห้อง ICU ในช่วง 1-2 วันแรก ซึ่งอาจจะมีข้อจำกัดบางประการ โดยการทำกายภาพบำบัดจะสามารถช่วยผู้ป่วยได้ โดยจะเน้นในเรื่องของการลดอาการปวด ลดอาการอักเสบ โดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด ร่วมกับส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวบนเตียง ขยับข้อต่อส่วนต่างๆเท่าที่ทำได้ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนดังที่กล่าวไปข้างต้น
ระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาลของผู้ป่วยแต่ละคนจะไม่เท่ากัน โดยหลักๆจะแบ่งระยะออกเป็น 2 ระยะ คือ In-patient phase and Out-patient phase
ขณะอยู่โรงพยาบาล
ประโยชน์ของการทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยหลังผ่าตัด ขณะที่อยู่ในโรงพยาบาล ได้แก่
- ลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด (Reduce risk of complications)
- ลดอาการปวด (Pain relief)
- ลดกระบวนการอักเสบของบริเวณผ่าตัด (Decrease inflammation process)
- ช่วยสอนท่าเคลื่อนไหวขณะนอนพักอยู่บนเตียง (Promote bed mobility and activity) เช่น การพลิกตะแคงตัวบนเตียง การลุกขึ้นนั่ง/ยืนข้างเตียง เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
- สอนการปรับตัวในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างปลอดภัย เช่น ลุกขึ้นนั่งขอบเตียง การเข้าห้องน้ำ ฯลฯ (Increase functional activity)
- ฟื้นฟูกำลังของกล้ามเนื้อและลดความเสี่ยงการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อ (Improve muscle strength and delay muscle atrophy)
- ช่วยเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆ ช่วยป้องกันการยึดติดของข้อติด (Increase range of motion)
ทั้งนี้ต้องมีการประเมินอาการของผู้ป่วยภายหลังการผ่าตัด เพื่อวางแผนการทำกายภาพบำบัดได้อย่างเหมาะสม ร่วมกับสหวิชาชีพ เช่น แพทย์เจ้าของไข้ แพทย์ผ่าตัด พยาบาล เภสัชกร เป็นต้น
หลังออกจากโรงพยาบาล
ประโยชน์ของการทำกายภาพบำบัดผู้ป่วยหลังผ่าตัด หลังออกจากโรงพยาบาล ได้แก่
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อให้ยืดหยุ่น แข็งแรงและทนทาน (Improve exercise capacity)
- ช่วยลดอาการปวด และสอนวิธีการจัดการกับอาการปวดที่ถูกต้อง (Pain management)
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การนั่ง ยืน เดิน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน (Improve functional activity)
- ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น (Prevent complications)
- ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน (Regain confidence)
การทำกายภาพบำบัดขณะอยู่โรงพยาบาลอย่างเดียว ไม่เพียงพอสำหรับการฟื้นตัวของผู้ป่วย เนื่องจากนักกายภาพบำบัดจะออกแบบโปรแกรมการรักษาเฉพาะบุคคลในแต่ละครั้ง ตามสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป เพื่อฟื้นฟูผู้ป่วยให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
การผ่าตัดที่ควรทำกายภาพบำบัด
การผ่าตัดทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อที่พบบ่อย ที่ควรได้รับการฟื้นฟูทางกายภาพบำบัด ได้แก่
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม (Total or partial hip replacement)
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total or partial knee replacement)
- การผ่าตัดเนื่องจากกระดูกหัก (Bone fracture fixation, ORIF, etc.)
- การผ่าตัดซ่อมเอ็นไขว้หน้าและเอ็นไขว้หลังข้อเข่า (ACL / PCL reconstruction)
- การผ่าตัดเย็บหมอนรองกระดูกเข่า (Meniscus repaired)
- การผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท (Laminectomy)
- การผ่าตัดซ่อมแซมหมอนรองกระดูกสันหลัง (Disc dissection, HNP)
- การผ่าตัดซ่อมแซมเส้นเอ็นข้อไหล่ฉีกขาด (Shoulder rotator cuff repaired)
- การผ่าตัดซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (Soft tissue repaired)
- การผ่าตัดเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น Heart disease, CABG, Lung surgery, Vascular disease
- การผ่าตัดเกี่ยวกับระบบประสาทสมอง เช่น Brain surgery, Craniectomy, Craniotomy, Nerve repaired or implantation
ผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าและข้อสะโพก
อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกและข้อเข่าเทียม ได้แก่
- อาการบวมบริเวณที่ข้อเข่า ข้อสะโพก ร่วมกับอาการปวด
- การเคลื่อนไหวข้อเข่าติด หรือลดลง โดยเฉพาะการงอเข่า
- การเคลื่อนไหวข้อสะโพกติด หรือลดลง ในหลายๆทิศทาง
- กล้ามเนื้อรอบเข่าและสะโพกอ่อนแรง อาจพบว่ามีกล้ามเนื้อฝ่อลีบ
- การเดินลงน้ำหนักของขาทั้งสองข้างไม่เป็นปกติ
ซึ่งกายภาพบำบัดจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ทางคลินิกกายภาพบำบัด เบรน รีแฮบ มีบริการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ข้อสะโพก เพื่อการฟื้นฟูที่ถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ผู้ที่กระดูกหัก
อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่ผ่าตัดซ่อมแซมกระดูกที่หัก ได้แก่
- อาการปวดและบวมบริเวณแผลผ่าตัด
- ข้อต่อยืดติด การเคลื่อนไหวข้อต่อ ไม่เต็มช่วงการเคลื่อนไหว (Limited range of motion)
- กล้ามเนื้อโดยรอบบริเวณแผลผ่าตัดอ่อนแรง
- อาจพบมีการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อนั้นๆ
- เกิดการยึดติดของเนื้อเยื่อบริเวณแผลผ่าตัด
ซึ่งกายภาพบำบัดจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ทางคลินิกกายภาพบำบัด เบรน รีแฮบ มีบริการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังผ่าตัดซ่อมแซมกระดูกที่หัก เพื่อการฟื้นฟูที่ถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ผู้ที่มีปัญหาหมอนรองกระดูกสันหลัง
อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่ผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท ซ่อมแซมหมอนรองกระดูกสันหลัง ได้แก่
- อาการปวดบริเวณหลัง หรือ คอ
- อาจพบอาการชา อาการปวดตามแนวเส้นประสาท
- การเคลื่อนไหวของหลังตามแนวกระดูกสันหลังลดลง
- มีความตึงตัวของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
- อาจพบการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อหลัง หรือบริเวณโดยรอบแผลผ่าตัด
ซึ่งกายภาพบำบัดจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ทางคลินิกกายภาพบำบัด เบรน รีแฮบ มีบริการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท ซ่อมแซมหมอนรองกระดูกสันหลัง เพื่อการฟื้นฟูที่ถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
ผู้ที่มีปัญหาข้อเข่า
อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่ผ่าตัดซ่อมเอ็นไขว้หน้าและเอ็นไขว้หลังข้อเข่า เย็บหมอนรองกระดูกเข่า ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ได้แก่
- มีอาการปวดและบวมบริเวณเข่า
- การเคลื่อนไหวข้อเข่าติด มีอาการเจ็บเวลาเคลื่อนไหวข้อเข่า
- อาจพบการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อบริเวณรอบข้อเข่า
- มีปัญหาในการ ยืน เดิน ลงน้ำหนัก
- อาจพบการอ่อนแรงของเข่า ร่วมกับอาการเจ็บ
ซึ่งกายภาพบำบัดจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ทางคลินิกกายภาพบำบัด เบรน รีแฮบ มีบริการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังผ่าตัดข้อเข่า เพื่อการฟื้นฟูที่ถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
Assessment
Ultrasound
Shockwave
Electrical Stimulation
Gun Massage
Joint Mobilization
Manual Traction
Stretching
Hot/Cold Compress
Exercises
Home Program
Posture Correction
คำถามที่พบบ่อย
กายภาพบำบัด คืออะไร
กายภาพบำบัด เป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการรักษา ส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การบรรเทาอาการปวด การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย จากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ยาและหลีกเลี่ยงการผ่าตัด แบ่งขั้นตอนการรักษาออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
Manual Techniques เป็นเทคนิคในการรักษาด้วยมือ ที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยับข้อต่อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Mobilization) การขยับ ดัด ดึงข้อต่อ (Manipulation) การดึงคอ-ดึงหลัง (Manual Traction) และการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)
Modalities เป็นการใช้เครื่องมือทางกายภาพฯ เพื่อช่วยลดปวดและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องช็อคเวฟ เครื่องอัลตราซาวด์ และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
Exercises หลังจากที่อาการปวดลดลงแล้วการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ในกรณีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเดิน จะเน้นฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อส่วนล่างที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
กายภาพฯ จะช่วยให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ลดปวด และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ…
ทำไมต้อง เบรน รีแฮบ คลินิก?
คนไข้สามารถติดต่อ ปรึกษาปัญหาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรามีการติดตามอาการ ผลการรักษา ตลอดจนให้คำปรึกษาในการดูแลตนเองเบื้องต้น จนกว่าจะถึงนัดหมายครั้งถัดไป
นอกจากนี้ ทั้งสาขาอโศกและสาขานนทบุรี ยังมีที่จอดรถ เดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS หรือ MRT
อะไรคือ ความแตกต่าง?
นักกายภาพฯ ของเรามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า คนไข้จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
มีการรักษา 8 ขั้นตอนหรือไม่?
ไม่มี เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคนไข้ เช่น การกระตุ้นไฟฟ้า ไม่ได้เหมาะสมกับการรักษาทุกเคส ดังนั้น เราจึงใช้เวลาเพื่อโฟกัสกับการรักษาที่ได้ผลที่สุด
แล้วแนวทางการรักษา คืออะไร?
1. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ของนักกายภาพฯ แต่ละท่านที่มากกว่า 10 ปี คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำ ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการรักษาทางกายภาพบำบัดที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด
อาการปวดในตำแหน่งเดียวกัน อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ประสบการณ์ของนักกายภาพฯ ที่คลินิก จะช่วยตรวจประเมิน วางแผนการรักษา และดำเนินการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
หากคนไข้มีอาการที่รุนแรง น่าสงสัย หรือได้รับอุบัติเหตุ เราจะแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น X-Ray, CT Scan และ MRI เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากมีผลการตรวจรังสีวินิจฉัยอยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ประกอบการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
ในบางกรณี นักกายภาพฯ ของเราจะทำงานร่วมกับแพทย์ในการวางแผนการรักษา และร่วมมือกับ Fitness Trainer ในการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด
2. Manual Therapy นักกายภาพฯ ที่คลินิกของเรา ล้วนมีความเชี่ยวชาญด้าน Manual Therapy (หัตถบำบัด) ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการบรรเทาอาการอักเสบของจุด Trigger Point ซึ่งมักเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเรื้อรัง การรักษาประกอบด้วยหลายเทคนิค เช่น การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึงตัว การขยับข้อต่อและเนื้อเยื่อโดยรอบ (Mobilization) เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และการดึงคอ-หลัง (Manual Traction) เพื่อลดแรงกดทับต่อเส้นประสาท
เทคนิคเหล่านี้ถือเป็นแนวทางการรักษาหลักทางกายภาพฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก
3. เครื่องมือ คลินิกของเรายังนำเครื่องมือที่ทันสมัย (Modalities) เช่น เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) มาประกอบการรักษา เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ฯลฯ
ทั้งนี้ นักกายภาพฯ จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการรักษาของแต่ละอาการ เช่น ผู้ที่มีภาวะกระดูกเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) ในการรักษาบริเวณนั้นๆ เพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
4. การออกกำลังกาย (Therapeutic Exercises) เป็นอีกหนึ่งในวิธีการรักษาหลักทางกายภาพฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ให้มีความสมดุลกันทั้งสองฝั่ง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว (Increase Range of Motion) และป้องกันอาการบาดเจ็บซ้ำๆที่จุดเดิม
นอกจากนี้ ยังช่วยปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน (Posture Correction) ไม่ว่าจะเป็นท่านอน ท่านั่ง ท่ายืนและท่าเดิน ให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในอนาคต
5. ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรคและติดตามผลการรักษา เรามุ่งเน้นให้คนไข้มีความเข้าใจเกี่ยวกับรอยโรคหรือภาวะที่เป็นอยู่ เพื่อที่จะปฎิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม และเพื่อหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ เรายังติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้คำปรึกษา คำแนะนำ จนกว่ามั่นใจว่า คนไข้จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างมั่นใจ
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา “คลินิกกายภาพบำบัด ใกล้ฉัน” ควรสอบถามแนวทางการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางการรักษานั้นเหมาะสมกับตนเอง และอาการที่เป็น อีกทั้ง ควรเลือกคลินิกที่มีนักกายภาพฯ ที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการตรวจร่างกายได้อย่างตรงจุด เพื่อการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หายเร็ว หายขาด ปลอดภัย และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ท่านสามารถปรึกษาอาการเบื้องต้นกับเรา ได้ทางโทรศัพท์หรือทาง LINE OA
หากไม่รักษา เดี๋ยวอาการปวดก็หายไปเอง ใช่หรือไม่?
ร่างกายของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เนื่องจาก เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวหรือใช้งานตลอดเวลา ทำให้การซ่อมแซมตัวเองเป็นไปได้ยากมากขึ้น หากมีอาการปวดที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แนะนำให้เข้ามารักษาทางกายภาพฯ จะช่วยให้หายไวขึ้น อาการปวดจากการบาดเจ็บลดลง และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง
ควรเข้ารับการรักษากี่ครั้ง ความถี่เท่าไหร่?
ขึ้นอยู่กับอาการ เช่น อาการเส้นเอ็นอักเสบจะใช้เวลารักษานานกว่ากล้ามเนื้ออักเสบ ส่วนโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในบางกรณีสามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรเข้ารับการรักษาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความต่อเนื่องของการรักษาและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
แม้ว่าระดับความทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้หายเร็วและไม่เรื้อรัง
อาการดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาต่อหรือหยุดการรักษาได้ จริงหรือไม่?
การรักษาทางกายภาพฯ จำเป็นต้องใช้ความต่อเนื่องในการเข้ารับการรักษา เพื่อให้หายขาด และป้องกันไม่ให้อาการกลับมา เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าที่ใช้ในการรักษา จะได้ผลเฉพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากคนไข้หยุดการรักษากลางคัน ก็เปรียบเสมือนกับการรับประทานยาที่ไม่ครบโดส ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ หรือกลายเป็นอาการเรื้อรังได้
จากสถิติของทางคลินิกฯ คนไข้ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่ตำแหน่งเดิม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมของคนไข้ด้วย
การออกกำลังกายโดยนักกายภาพฯ แตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปอย่างไร?
การออกกำลังกายทางกายภาพฯ ไม่ได้เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเราจะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหา และออกแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จุดเดิม
นอกจากการรักษาแล้ว ยังเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่ช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลในการรักษาแต่ละครั้ง ให้เหมาะกับสภาพกล้ามเนื้อ ณ ขณะนั้น
โรคอะไรที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีทางกายภาพฯ?
นัดหมาย
085-9966-353Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
ที่จอดรถ เลี้ยวเข้าซอย อยู่หัวมุม