• ไทย
  • English

คลินิกกายภาพบำบัด เบรน รีแฮบ

วันนี้ทางคลินิกฯขอนำเสนอ “​6 อาการบาดเจ็บของนักวิ่ง” สาเหตุของการเกิดการบาดเจ็บ รวมถึงหลักการ R.I.C.E. เพื่อดูแลตัวเองเบื้องต้นยามบาดเจ็บ ที่นักวิ่งทุกคนต้องรู้…

ปวดสะบ้าหัวเข่า

Patellofemoral Pain Syndrome หรือ Runner’s Knee คือ อาการปวดบริเวณสะบ้าและรอบๆหัวเข่า รวมถึงอาการที่ข้อเข่ามีเสียงเวลาเคลื่อนไหว เนื่องจากกระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบจากการเสียดสี มักเกิดขึ้นกับคนที่ใช้เข่าเยอะ เช่น นักวิ่ง นักปั่นจักรยาน เล่นฟุตบอล หรือกิจกรรมต่างๆที่ต้องกระโดด มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย

เอ็นร้อยหวายอักเสบ

Achilles Tendinitis คือ อาการเอ็นร้อยหวายอักเสบ ซึ่งเอ็นร้อยหวายเป็นเส้นเอ็นที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เมื่อเกิดการอักเสบ ทำให้มีอาการเจ็บ บวม แดง บางครั้งอาจปวดลามไปถึงกล้ามเนื้อน่องได้ เกิดจากการใช้งานหนักอย่างต่อเนื่อง เช่น เดิน วิ่ง หรือกระโดดซ้ำๆเป็นเวลานานๆ

ต้นขาด้านนอกอักเสบ

Iliotibial Band Syndrome คือ การอักเสบของกล้ามเนื้อเกี่ยวพันบริเวณต้นขาด้านนอก มักเกิดเมื่อมีการเคลื่อนไหวและเข่าบิดเข้าด้านในซ้ำๆ ทำให้เนื้อเยื่อเสียดสีกับกระดูกเข่าด้านนอกทำให้เกิดการอักเสบ พบบ่อยในนักวิ่งมาราธอน อาการที่พบส่วนใหญ่ มักจะปวดเข่าด้านนอกและมีจุดกดเจ็บ บางรายอาจจะมีอาการบวมบริเวณเข่าด้านนอกร่วมด้วย

เส้นเอ็นสะบ้าอักเสบ

Patellar Tendinitis คือ การอักเสบของเส้นเอ็นสะบ้า ที่เกาะจากสะบ้ามาที่กระดูกหน้าแข้ง ทำหน้าที่ช่วยเหยียดข้อเข่า มักจะมีอาการปวดด้านหน้าเข่า บริเวณใต้สะบ้า

มักพบมากในกีฬาที่มีการกระโดด เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล พบเยอะในเพศชายมากกว่าเพศหญิง

ความแตกต่างกับ Patellofemoral Pain Syndrome (PFPS) คือ อาการของ PFPS จะปวดกระจายทั่วทั้งเข่าและพบในผู้ที่ทำกิจกรรมโดยใช้เอ็นสะบ้าน้อย เช่น การเดิน การวิ่งและการปั่นจักรยาน

อาการปวดระยะแรกมักจะปวดหลังทำกิจกรรม สามารถหายได้เองใน 1-2 วัน

อาการปวดระยะที่สอง ปวดระหว่างทำกิจกรรมและปวดหลังทำกิจกรรม เคยมีอาการปวดที่หายไปแล้วและกลับมาเป็นในความถี่ที่เร็วขึ้น

อาการปวดระยะที่สาม มีอาการปวดตลอดเวลา แม้จะพักจากกิจกรรมหลายวัน

กล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบ

Medial Tibial Stress Syndrome หรือ Shin Splints คือ อาการกล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบ เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และเยื่อหุ้มกระดูกบริเวณรอบๆกระดูกหน้าแข้ง

ซึ่งอาการปวดจะมี 2 แบบ แบบแรกจะปวดบริเวณสันหน้าแข้งด้านหน้า แบบที่สองปวดบริเวณสันหน้าแข้งด้านใน อาจมีอาการบวมเล็กน้อยที่ขาส่วนล่าง มักพบบ่อยในคนที่ใช้กล้ามเนื้ออย่างหักโหม จะมีอาการปวดมากในตอนเช้าหลังตื่นนอน

รองช้ำ

Plantar Fasciitis หรือ อาการรองช้ำ คือ อาการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า ส่งผลให้เกิดอาการปวด มักจะปวดมากในช่วงเช้าที่เริ่มเดินก้าวแรกๆ อาการรองช้ำไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นทันที มักจะเป็นการบาดเจ็บสะสมเรื้อรัง สาเหตุมักเกิดจากการใช้งานนานเกินไป เดินหรือวิ่งลงส้นเท้า มีโครงเท้าสูงหรือเท้าแบน การวิ่งหรือออกกำลังกายบนพื้นแข็ง รวมถึงน้ำหนักตัวมากทำให้ฝ่าเท้ารับน้ำหนักมากเกินไป

สาเหตุของการบาดเจ็บ

สาเหตุที่นักวิ่งบาดเจ็บ

1. ตารางการซ้อมที่หนักเกินไป
2. รูปแบบการวิ่งไม่ดี
3. รองเท้าสำหรับใส่วิ่งไม่เหมาะสม
4. กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นไม่แข็งแรง
5. ขาดการยืดกล้ามเนื้อทั้งก่อนและหลังการวิ่ง
6. การพักฟื้นไม่เพียงพอ

การดูแลตัวเองเบื้องต้น (R.I.C.E.)

อาการบาดเจ็บเฉียบพลันควรยึดหลัก R.I.C.E. ในการดูแลตัวเองเบื้องต้น

R คือ Rest หรือการหยุดพัก เมื่อเกอาการ
I คือ Ice คือ การประคบเย็น
C คือ Compress คือ การพันกระชับบริเวณที่เจ็บ ให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุด
E คือ Elevation คือ การยกสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการปวดบวม

​Assessment

Ultrasound

​Shockwave

Electrical Stimulation

​Gun Massage

​Joint Mobilization

Manual Traction

​Stretching

​Hot/Cold Compress

Exercises

​Home Program

Posture Correction

คำถามที่พบบ่อย

กายภาพบำบัด เป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ​ที่มุ่งเน้นการรักษา ส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การบรรเทาอาการปวด การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย จากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ยาและหลีกเลี่ยงการผ่าตัด แบ่งขั้นตอนการรักษาออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

Manual Techniques เป็นเทคนิคในการรักษาด้วยมือ ที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยับข้อต่อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Mobilization) การขยับ ดัด ดึงข้อต่อ (Manipulation) การดึงคอ-ดึงหลัง (Manual Traction) และการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)
Modalities เป็นการใช้เครื่องมือทางกายภาพฯ เพื่อช่วยลดปวดและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องช็อคเวฟ เครื่องอัลตราซาวด์ และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
Exercises หลังจากที่อาการปวดลดลงแล้ว​การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ในกรณีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเดิน จะเน้นฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อส่วนล่างที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ 

กายภาพฯ จะช่วยให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ลดปวด และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ…

คนไข้สามารถติดต่อ ปรึกษาปัญ​หาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรามีการติดตามอาการ ผลการรักษา ตลอดจนให้คำปรึกษาในการดูแลตนเองเบื้องต้น จนกว่าจะถึงนัดหมายครั้งถัดไป

นอกจากนี้ ทั้งสาขาอโศกและสาขานนทบุรี ยังมีที่จอดรถ เดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS หรือ MRT

นักกายภาพฯ ของเรามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า คนไข้จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด

ไม่มี เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคนไข้ เช่น การกระตุ้นไฟฟ้า ไม่ได้เหมาะสมกับการรักษาทุกเคส ดังนั้น เราจึงใช้เวลาเพื่อโฟกัสกับการรักษาที่ได้ผลที่สุด

1. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ของนักกายภาพฯ แต่ละท่านที่มากกว่า 10 ปี คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำ ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการรักษาทางกายภาพบำบัดที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด

อาการปวดในตำแหน่งเดียวกัน อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ประสบการณ์ของนักกายภาพฯ ที่คลินิก จะช่วยตรวจประเมิน วางแผนการรักษา และดำเนินการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน

หากคนไข้มีอาการที่รุนแรง น่าสงสัย หรือได้รับอุบัติเหตุ เราจะแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น X-Ray, CT Scan และ MRI เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากมีผลการตรวจรังสีวินิจฉัยอยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ประกอบการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น

ในบางกรณี นักกายภาพฯ ของเราจะทำงานร่วมกับแพทย์ในการวางแผนการรักษา และร่วมมือกับ Fitness Trainer ในการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด

2. Manual Therapy นักกายภาพฯ ที่คลินิกของเรา ล้วนมีความเชี่ยวชาญด้าน Manual Therapy (หัตถบำบัด) ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการบรรเทาอาการอักเสบของจุด Trigger Point ซึ่งมักเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเรื้อรัง การรักษาประกอบด้วยหลายเทคนิค เช่น การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึงตัว การขยับข้อต่อและเนื้อเยื่อโดยรอบ (Mobilization) เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และการดึงคอ-หลัง (Manual Traction) เพื่อลดแรงกดทับต่อเส้นประสาท

เทคนิคเหล่านี้ถือเป็นแนวทางการรักษาหลักทางกายภาพฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก

3. เครื่องมือ คลินิกของเรายังนำเครื่องมือที่ทันสมัย (Modalities) เช่น เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) มาประกอบการรักษา เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ฯลฯ

ทั้งนี้ นักกายภาพฯ จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการรักษาของแต่ละอาการ เช่น ผู้ที่มีภาวะกระดูกเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) ในการรักษาบริเวณนั้นๆ เพื่อความปลอดภัย เป็นต้น

4. การออกกำลังกาย (Therapeutic Exercises) เป็นอีกหนึ่งในวิธีการรักษาหลักทางกายภาพฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ให้มีความสมดุลกันทั้งสองฝั่ง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว (Increase Range of Motion) และป้องกันอาการบาดเจ็บซ้ำๆที่จุดเดิม 

นอกจากนี้ ยังช่วยปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน (Posture Correction) ไม่ว่าจะเป็นท่านอน ท่านั่ง ท่ายืนและท่าเดิน ให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในอนาคต

5. ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรคและติดตามผลการรักษา เรามุ่งเน้นให้คนไข้มีความเข้าใจเกี่ยวกับรอยโรคหรือภาวะที่เป็นอยู่ เพื่อที่จะปฎิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม และเพื่อหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ เรายังติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้คำปรึกษา คำแนะนำ จนกว่ามั่นใจว่า คนไข้จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างมั่นใจ

สำหรับผู้ที่กำลังมองหา “คลินิกกายภาพบำบัด ใกล้ฉัน” ควรสอบถามแนวทางการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางการรักษานั้นเหมาะสมกับตนเอง และอาการที่เป็น อีกทั้ง ควรเลือกคลินิกที่มีนักกายภาพฯ ที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการตรวจร่างกายได้อย่างตรงจุด เพื่อการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หายเร็ว หายขาด ปลอดภัย และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ท่านสามารถปรึกษาอาการเบื้องต้นกับเรา ได้ทางโทรศัพท์หรือทาง LINE OA

ร่างกายของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เนื่องจาก เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวหรือใช้งานตลอดเวลา ทำให้การซ่อมแซมตัวเองเป็นไปได้ยากมากขึ้น ​หากมีอาการปวดที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แนะนำให้เข้ามารักษาทางกายภาพฯ จะช่วยให้หายไวขึ้น อาการปวดจากการบาดเจ็บลดลง และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง

ขึ้นอยู่กับอาการ เช่น อาการเส้นเอ็นอักเสบจะใช้เวลารักษานานกว่ากล้ามเนื้ออักเสบ ส่วนโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในบางกรณีสามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค 

เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรเข้ารับการรักษาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความต่อเนื่องของการรักษาและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น 

แม้ว่าระดับความทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้หายเร็วและไม่เรื้อรัง

การรักษาทางกายภาพฯ จำเป็นต้องใช้ความต่อเนื่องในการเข้ารับการรักษา เพื่อให้หายขาด และป้องกันไม่ให้อาการกลับมา เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าที่ใช้ในการรักษา จะได้ผลเฉพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากคนไข้หยุดการรักษากลางคัน ก็เปรียบเสมือนกับการรับประทานยาที่ไม่ครบโดส ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ หรือกลายเป็นอาการเรื้อรังได้

จากสถิติของทางคลินิกฯ คนไข้ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่ตำแหน่งเดิม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมของคนไข้ด้วย

การออกกำลังกายทางกายภาพฯ ไม่ได้เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเราจะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหา ​และออกแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับ​สภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จุดเดิม 

นอกจากการรักษาแล้ว ยังเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่ช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลในการรักษาแต่ละครั้ง ให้เหมาะกับสภาพกล้ามเนื้อ ณ ขณะนั้น

โรคที่เกิดจากพันธุกรรม เช่น กระดูกสันหลังคดแต่กำเนิด หรือโรคประจำตัว เช่น เท้าชาจากเบาหวาน ที่ทำให้ปลายประสาทอักเสบ ฯลฯ