• ไทย
  • English

คลินิกกายภาพบำบัด เบรน รีแฮบ

ประคบร้อน ประคบเย็น (Heat&Cold Compress)

การประคบร้อนและประคบเย็น (Heat & Cold Compress) เป็นเทคนิคหนึ่งในการรักษาทางกายภาพบำบัด ซึ่งวัตถุประสงค์ของการทำหัตถการนี้ก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บนั้นๆ

กลไกการบาดเจ็บของร่างกาย เกิดได้จากหลายสาเหตุ เมื่อร่างกายเกิดการบาดเจ็บ (48 ชั่วโมงแรก) จะอยู่ในระยะอักเสบฉับพลัน (Acute inflammation) บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ อวัยวะ เนื้อเยื่อ บริเวณนั้นๆ จะเกิดอาการบวม มีอาการปวด มีอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าบริเวณอื่น ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือแดงขึ้น

ข้อควรระวัง ในการประคบร้อนและการประคบเย็น

  • ผู้ป่วยเบาหวาน (Diabatic mellitus) ที่มีการรับรู้ความรู้สึกบริเวณผิวหนังลดลง
  • ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการรับความรู้สึกที่ผิดปกติ (Hypersensitivity)
  • ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเกี่ยวกับเส้นประสาท (Nerve transplantation or Nerve transposition)
  • ผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ไขสันหลัง ร่วมกับมีภาวะการรับความรู้สึกที่ผิดปกติ (Spinal cord injury: Sensation impairment)
  • ผู้ป่วยที่มีการปลูกถ่ายผิวหนัง (Skin graft surgery)

ความแตกต่าง

การใช้เทคนิคประคบเย็น (Cold Compress) จะช่วยลดกระบวนการอักเสบและความเสียหายของเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้น เนื่องจากความเย็นจะช่วยชะลอกระบวนการอักเสบ โดยจะช่วยลดการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณที่อักเสบ ทำให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งสารที่เกิดจากการอักเสบจะลดลง ร่วมกับช่วยลดการนำของกระแสประสาท ทำให้รู้สึกปวดลดลง การประคบเย็นควรใช้ระดับความเย็นความรู้สึกที่เย็นสบาย ไม่รู้สึกแสบหรือปวดเพิ่มขึ้น และควรมีผ้ารองทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหนังโดยตรง ซึ่งหากประคบความเย็นที่จัดเกินไป อาจจะทำให้เกิดการแสบผิวหนังและเป็นแผลจากความเย็นที่กัดผิวหนังได้ (Frostbite)

การประคบเย็นจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีต่อครั้ง สามารถประคบได้ต่อเนื่องทุก 1-2 ชั่วโมง ขั้นต่ำวันละ 3-4 ครั้ง อาการที่ควรประคบเย็น เช่น มีอาการปวดบวมบริเวณข้อเท้าจากข้อเท้าแพลง หกล้ม อาการปวดบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เป็นต้น

***ปัจจุบัน นักกีฬาอาชีพใช้วิธีการแช่น้ำเย็น เพื่อลดอาการปวด และความเสียหายของเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ หลังจากการออกกำลังกายอย่างหนัก (DOMS)

การใช้เทคนิคประคบร้อน (Heat Compress) จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดเฉพาะจุดบริเวณที่ประคบร้อนนั้นๆ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดความตึงตัวของเนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ ผิวหนังและเนื่อเยื่อเกี่ยวพันบริเวณดังกล่าว (Connective tissue) ช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ จากสารที่ส่งผ่านมาจากหลอดเลือด รวมถึงการกำจัดของเสีย เช่น กรดแลคติก ฯลฯ การประคบร้อน จะไม่ใช้ในกรณีที่บริเวณดังกล่าวอยู่ในภาวะอักเสบฉับพลัน (ปวด บวม แดง ร้อน ช้ำ)

การประคบร้อนควรจะประคบให้บริเวณมีความรู้สึกอุ่นสบาย ไม่ร้อนจัด และควรมีผ้ารองทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหนังโดยตรง เพื่อป้องกันอาการผิวหนังพองหรือไหม้จากความร้อนที่สูงเกินไป และจากความชื้นของเหงื่อกับความร้อนที่สะสม โดยอาศัยผ้าเป็นตัวซับเหงื่อที่เกิดขึ้น การประคบร้อนจะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีต่อครั้ง ขั้นต่ำวันละ 1-2 ครั้ง อาการที่ควรประคบร้อน เช่น มีอาการกล้ามเนื้อตึง เมื่อยล้า คลายกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย เป็นต้น**

ประคบร้อนสลับเย็น

การรักษาด้วยเทคนิคการประคบร้อนและเย็นสลับกัน (Contrast therapy) เป็นการรักษาด้วยการใช้ความเย็นและความร้อนสลับกันตามอัตราส่วนที่เหมาะสม ช่วยลดอาการปวด และอาการอักเสบระดับเบา (Low grade inflammation) ของบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีปัญหา ช่วยในกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ (Healing process) และช่วยลดความตึงตัวของเนื้อเยื่อ โดยผลของความร้อน (Thermal effect) การใช้ความเย็นสลับกับความร้อน จะทำให้เกิดการ pumping ในระบบการไหลเวียนเลือด ณ จุดๆนั้น กล่าวคือ ความเย็นจะช่วยชะลอระบบการไหลเวียนเลือด ทำให้ลดการบวมของเนื้อเยื่อและเซลล์ และลดกระบวนการอักเสบ ในขณะที่ความร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซม เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว และเพิ่มความหยืดหยุ่นของข้อต่อ เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ ผิวหนังและเนื่อเยื่อเกี่ยวพัน

การใช้ความเย็นและความร้อนสลับกัน จึงทำให้เกิด pumping effect ช่วยในการกำจัดของเสียในระบบการไหลเวียนเลือดบริเวณดังกล่าว เทคนิคการใช้ความร้อนและความเย็นสลับกัน สามารถช่วยลดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย รวมถึงอาการปวดกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายอย่างหนัก (DOMS)

ข้อควรระวังสำหรับเทคนิคการใช้ความร้อนและความเย็นสลับกัน

  • ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อวางโปรแกรมที่เหมาะสม
  • การใช้ความเย็นเป็นระยะเวลานานเกินไป อาจจะทำให้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
  • การใช้ความร้อนที่มากเกินไป จะส่งผลกระตุ้นกระบวนการอักเสบให้เพิ่มขึ้น
  • การใช้เทคนิคนี้ อาจส่งผลให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ (Dehydration) จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • อาการอักเสบ ที่มีอาการบวม มีรอยช้ำ ควรเน้นการประคบเย็นเป็นหลัก
  • ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องของระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ
  • ไม่ควรใช้ในผู้ที่อาจจะมีอาการอักเสบฉับพลัน มีแผลเปิดหรือมีไข้
  • ผู้ป่วยที่มีปํญหาด้านการรับความรู้สึก ควรมีผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด
  • ไม่ควรใช้ความเย็นในบริเวณกล้ามเนื้อที่ยืดติด ข้อต่อยึดติด
  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อน ในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคผิวหนังอักเสบ โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดแดงและดำ โรคหลอดเลือดดำอุดตัน โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ

ทั้งนี้ ควรสอบถามเกี่ยวการทานยาที่ควบคุมอาการ และประเมินร่างกายโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง

ตัวอย่างเทคนิคการใช้ความเย็นสลับกับความร้อน 
ประคบเย็น 1 นาที สลับกับประคบร้อน 3 นาที (ทั้งหมด 3 set) และปิดท้ายด้วยประคบเย็น 1 นาที ประมาณ 1-2 ครั้งต่อวัน

FAQs

1. เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น ข้อเท้าพลิก ควรประคบร้อนหรือเย็น?

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เช่น ข้อเท้าพลิก ควรประคบเย็นในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวม อาการปวดและอาการอักเสบ โดยใช้ถุงน้ำแข็งหรือ Cold Pack ครั้งละ 15-20 นาที วันละ 3-4 ครั้ง

การประคบเย็นจะช่วยทำให้หลอดเลือดหดตัว ช่วยลดการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณที่บาดเจ็บ ทำให้ลดอาการบวมลง ลดการอักเสบและอาการปวดได้ รวมทั้งป้องกันไม่ให้เลือดออกมาคั่งบริเวณที่บาดเจ็บมากขึ้น

หลังจาก 48 ชั่วโมงแรกไปแล้ว เมื่ออาการบวมลดลงแล้ว สามารถประคบร้อนได้ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการปวดและช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว

2. แล้วทำไม ปวดหัวถึงต้องประคบเย็น?

อาการปวดหัว เป็นอาการที่มีหลายประเภทและหลายสาเหตุ การประคบเย็นจะช่วยลดอัตราการส่งกระแสประสาทความเจ็บปวด (Slows down the pain message being transmitted to the brain) เป็นการชะลอวงจรของระบบประสาท จึงทำให้ลดอาการปวด และช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ รวมถึงช่วยลดอุณหภูมิด้วย

อย่างไรก็ดี การประคบเย็นอาจช่วยบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว เพราะอาการปวดหัวบางประเภท เช่น ปวดหัวจากความดันสูง ปวดหัวจากการขาดน้ำ ปวดหัวจากการใช้ยาบางชนิด ปวดหัวจากโรคหลอดเลือดสมอง ไม่ควรประคบเย็น ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอาการปวดหัวอย่างเหมาะสม

3. ทำไมปวดประจำเดือน ต้องประคบร้อน?

ปวดประจำเดือน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิงในช่วงมีประจำเดือน ส่งผลให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัวและบีบตัว ทำให้อาจเกิดอาการปวดท้องน้อย ปวดหลัง ปวดเอว ปวดหัว คลื่นไส้ หรืออาเจียนได้ ซึ่งการประคบร้อนจะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน เพราะความร้อนจะช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดการอักเสบและบวม ส่งผลให้กล้ามเนื้อมดลูกคลายตัวและลดอาการปวดในที่สุด

4. หากมีอาการปวดเรื้อรัง แต่ปวดมากขึ้นจากการใช้งานที่ผิดปกติ ควรประคบร้อนหรือเย็น?

ให้เลือกใช้ตามอาการ หากมีอาการ ปวด บวม แดง ร้อน ช้ำ หรือเมื่อรู้สึกปวด จนขยับไม่ได้ ขยับแล้วเจ็บ ให้ใช้วิธีประคบเย็นและพักการใช้งาน 24-48 ชม. แต่หากมีอาการปวดเมื่อย แต่ยังขยับใช้งานได้ปกติ ให้ใช้วิธีประคบร้อน

5. หากเกิดตะคริวขณะออกกำลังกาย ควรประคบร้อนหรือเย็น?

การเลือกว่าจะประคบร้อนหรือเย็นนั้น ขึ้นกับสาเหตุและปัจจัยแวดล้อม ซึ่งการเป็นตะคริวขณะออกกำลังกาย ยังไม่ทราบสาเหตุหรือกลไกที่ชัดเจน

ในกรณีที่กล้ามเนื้อเป็นตะคริว เนื่องจากออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนจัด (heat cramp) เพราะอยู่ในภาวะขาดน้ำ เหงื่อออกมาก ทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือและแร่ธาตุ (อิเล็กโทรไลต์) เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ฯลฯ การสูญเสียสารอาหารเหล่านี้อาจทำให้กล้ามเนื้อกระตุก ควรหยุดทำกิจกรรมใดก็ตามที่กระตุ้นให้เกิดตะคริว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การยืดและนวดกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริว โดยค้างไว้ในท่าที่ยืดออกจนกว่าตะคริวจะหยุด ดื่มน้ำที่เติมอิเล็กโทรไลต์ตามความจำเป็น หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีน้ำตาลต่ำ เพื่อช่วยทดแทนอิเล็กโทรไลต์ที่สูญเสียไป

หากมีความจำเป็นต้องแข่งขันต่อ อาจจะใช้การประคบเย็น เช่น สเปรย์เย็น เพื่อลดอาการปวด ลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เพื่อให้สามารถแข่งขันต่อให้เสร็จ หลังจากนั้น ควรให้นักกายภาพบำบัดตรวจประเมินว่ากล้ามเนื้อเกิดการอักเสบเฉียบพลันหรือไม่ แล้วปฎิบัติตามหลักการประคบร้อน-เย็นต่อไป

​Assessment

Ultrasound

​Shockwave

Electrical Stimulation

​Gun Massage

​Joint Mobilization

Manual Traction

​Stretching

​Hot/Cold Compress

Exercises

​Home Program

Posture Correction

คำถามที่พบบ่อย

กายภาพบำบัด เป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ​ที่มุ่งเน้นการรักษา ส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การบรรเทาอาการปวด การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย จากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ยาและหลีกเลี่ยงการผ่าตัด แบ่งขั้นตอนการรักษาออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

Manual Techniques เป็นเทคนิคในการรักษาด้วยมือ ที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยับข้อต่อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Mobilization) การขยับ ดัด ดึงข้อต่อ (Manipulation) การดึงคอ-ดึงหลัง (Manual Traction) และการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)
Modalities เป็นการใช้เครื่องมือทางกายภาพฯ เพื่อช่วยลดปวดและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องช็อคเวฟ เครื่องอัลตราซาวด์ และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
Exercises หลังจากที่อาการปวดลดลงแล้ว​การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ในกรณีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเดิน จะเน้นฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อส่วนล่างที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ 

กายภาพฯ จะช่วยให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ลดปวด และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ…

คนไข้สามารถติดต่อ ปรึกษาปัญ​หาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรามีการติดตามอาการ ผลการรักษา ตลอดจนให้คำปรึกษาในการดูแลตนเองเบื้องต้น จนกว่าจะถึงนัดหมายครั้งถัดไป

นอกจากนี้ ทั้งสาขาอโศกและสาขานนทบุรี ยังมีที่จอดรถ เดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS หรือ MRT

นักกายภาพฯ ของเรามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า คนไข้จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด

ไม่มี เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคนไข้ เช่น การกระตุ้นไฟฟ้า ไม่ได้เหมาะสมกับการรักษาทุกเคส ดังนั้น เราจึงใช้เวลาเพื่อโฟกัสกับการรักษาที่ได้ผลที่สุด

1. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ของนักกายภาพฯ แต่ละท่านที่มากกว่า 10 ปี คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำ ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการรักษาทางกายภาพบำบัดที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด

อาการปวดในตำแหน่งเดียวกัน อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ประสบการณ์ของนักกายภาพฯ ที่คลินิก จะช่วยตรวจประเมิน วางแผนการรักษา และดำเนินการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน

หากคนไข้มีอาการที่รุนแรง น่าสงสัย หรือได้รับอุบัติเหตุ เราจะแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น X-Ray, CT Scan และ MRI เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากมีผลการตรวจรังสีวินิจฉัยอยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ประกอบการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น

ในบางกรณี นักกายภาพฯ ของเราจะทำงานร่วมกับแพทย์ในการวางแผนการรักษา และร่วมมือกับ Fitness Trainer ในการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด

2. Manual Therapy นักกายภาพฯ ที่คลินิกของเรา ล้วนมีความเชี่ยวชาญด้าน Manual Therapy (หัตถบำบัด) ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการบรรเทาอาการอักเสบของจุด Trigger Point ซึ่งมักเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเรื้อรัง การรักษาประกอบด้วยหลายเทคนิค เช่น การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึงตัว การขยับข้อต่อและเนื้อเยื่อโดยรอบ (Mobilization) เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และการดึงคอ-หลัง (Manual Traction) เพื่อลดแรงกดทับต่อเส้นประสาท

เทคนิคเหล่านี้ถือเป็นแนวทางการรักษาหลักทางกายภาพฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก

3. เครื่องมือ คลินิกของเรายังนำเครื่องมือที่ทันสมัย (Modalities) เช่น เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) มาประกอบการรักษา เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ฯลฯ

ทั้งนี้ นักกายภาพฯ จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการรักษาของแต่ละอาการ เช่น ผู้ที่มีภาวะกระดูกเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) ในการรักษาบริเวณนั้นๆ เพื่อความปลอดภัย เป็นต้น

4. การออกกำลังกาย (Therapeutic Exercises) เป็นอีกหนึ่งในวิธีการรักษาหลักทางกายภาพฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ให้มีความสมดุลกันทั้งสองฝั่ง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว (Increase Range of Motion) และป้องกันอาการบาดเจ็บซ้ำๆที่จุดเดิม 

นอกจากนี้ ยังช่วยปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน (Posture Correction) ไม่ว่าจะเป็นท่านอน ท่านั่ง ท่ายืนและท่าเดิน ให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในอนาคต

5. ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรคและติดตามผลการรักษา เรามุ่งเน้นให้คนไข้มีความเข้าใจเกี่ยวกับรอยโรคหรือภาวะที่เป็นอยู่ เพื่อที่จะปฎิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม และเพื่อหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ เรายังติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้คำปรึกษา คำแนะนำ จนกว่ามั่นใจว่า คนไข้จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างมั่นใจ

สำหรับผู้ที่กำลังมองหา “คลินิกกายภาพบำบัด ใกล้ฉัน” ควรสอบถามแนวทางการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางการรักษานั้นเหมาะสมกับตนเอง และอาการที่เป็น อีกทั้ง ควรเลือกคลินิกที่มีนักกายภาพฯ ที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการตรวจร่างกายได้อย่างตรงจุด เพื่อการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หายเร็ว หายขาด ปลอดภัย และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ท่านสามารถปรึกษาอาการเบื้องต้นกับเรา ได้ทางโทรศัพท์หรือทาง LINE OA

ร่างกายของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เนื่องจาก เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวหรือใช้งานตลอดเวลา ทำให้การซ่อมแซมตัวเองเป็นไปได้ยากมากขึ้น ​หากมีอาการปวดที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แนะนำให้เข้ามารักษาทางกายภาพฯ จะช่วยให้หายไวขึ้น อาการปวดจากการบาดเจ็บลดลง และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง

ขึ้นอยู่กับอาการ เช่น อาการเส้นเอ็นอักเสบจะใช้เวลารักษานานกว่ากล้ามเนื้ออักเสบ ส่วนโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในบางกรณีสามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค 

เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรเข้ารับการรักษาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความต่อเนื่องของการรักษาและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น 

แม้ว่าระดับความทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้หายเร็วและไม่เรื้อรัง

การรักษาทางกายภาพฯ จำเป็นต้องใช้ความต่อเนื่องในการเข้ารับการรักษา เพื่อให้หายขาด และป้องกันไม่ให้อาการกลับมา เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าที่ใช้ในการรักษา จะได้ผลเฉพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากคนไข้หยุดการรักษากลางคัน ก็เปรียบเสมือนกับการรับประทานยาที่ไม่ครบโดส ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ หรือกลายเป็นอาการเรื้อรังได้

จากสถิติของทางคลินิกฯ คนไข้ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่ตำแหน่งเดิม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมของคนไข้ด้วย

การออกกำลังกายทางกายภาพฯ ไม่ได้เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเราจะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหา ​และออกแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับ​สภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จุดเดิม 

นอกจากการรักษาแล้ว ยังเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่ช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลในการรักษาแต่ละครั้ง ให้เหมาะกับสภาพกล้ามเนื้อ ณ ขณะนั้น

โรคที่เกิดจากพันธุกรรม เช่น กระดูกสันหลังคดแต่กำเนิด หรือโรคประจำตัว เช่น เท้าชาจากเบาหวาน ที่ทำให้ปลายประสาทอักเสบ ฯลฯ

นัดหมาย

085-9966-353

Business Hours

วันจันทร์-ศุกร์: 10.30 - 20.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.

Location

อยู่ห้อง B-13 ชั้น B-1 (ข้างออฟฟิศเมท)
Jasmine City ซ.สุขุมวิท 23 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
https://goo.gl/maps/yc3JW

Parking

จอดรถฟรี 3 ชั่วโมง

Business Hours

วันจันทร์-ศุกร์: 9.30 - 20.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.

Location

อยู่ติด MRT บางรักใหญ่ ทางออก 2
23/10 หมู่ 3, บางรักใหญ่, บางบัวทอง, นนทบุรี 11110
https://goo.gl/maps/wTdR4

Parking

มีที่จอดรถ 4-5 คัน
ที่จอดรถ เลี้ยวเข้าซอย อยู่หัวมุม