Thoracic Outlet Syndrome (TOS)

รักษา”ออฟฟิศซินโดรม”กี่ที่ ก็ไม่หาย… มาทำความรู้จัก โรค Thoracic Outlet Syndrome กัน…
โรคที่แม้แต่นักกายภาพบำบัดเอง บางครั้งยังวินิจฉัยผิด…
Thoracic Outlet Syndrome หรือ TOS เป็นอาการที่พบมากใน ผู้หญิงอายุ 20-50 ปี ซึ่งเกิดจากการกดทับเส้นประสาทและหลอดเลือดบริเวณคอ ทำให้เกิดอาการชาทั้งแขนและมือ ร่วมกับอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการแขนบวม และอาการแขนและมือเย็น
โรคนี้ไม่ได้มีความแตกต่างกับโรคออฟฟิศ ซินโดรมทั่วไปมากมายนัก เพราะถือว่าเป็นส่วนนึงในอาการออฟฟิศ ซินโดรม
แต่ด้วยความใกล้เคียงของอาการกันนี่เอง ทำให้นักกายภาพบำบัดหลายท่านยังวินิจฉัยผิด
จากประสบการณ์ส่วนตัวของคนไข้ท่านนึง ไปรักษามาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 คลินิก เป็นระยะเวลาหลายปี อาการไม่ดีขึ้น เพราะนักกายภาพบำบัดแจ้งว่า เกิดจากการใช้งาน ถ้าไม่ใช้งาน อาการก็จะดีขึ้น
แต่พอมาลองคลินิกเรา นักกายภาพบำบัดฟันธงว่าเป็น Thoracic Outlet Syndrome จึงทำให้การรักษาตรงจุด และอาการค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ…
เห็นไหมว่าการเลือกคลินิกที่มีนักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญ ทำให้การรักษาตรงจุด และจะประหยัดเงินคนไข้ด้วยนะครับ
อาการ
Thoracic Outlet Syndrome เป็นอาการที่พบมากใน ผู้หญิงอายุ 20-50 ปี ซึ่งเกิดจากการกดทับเส้นประสาทและหลอดเลือดบริเวณคอ ทำให้เกิดอาการชาทั้งแขนและมือ ร่วมกับอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาการแขนบวม และอาการแขนและมือเย็น โดยอาการของโรค จำแนกเป็น 3 อาการหลักๆ คือ
1. อาการทางระบบประสาท ผู้ป่วยที่มีอาการ อาจจะรู้สึกชาที่แขนจนไปถึงมือ ผู้ป่วยบางรายมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและลีบ ซึ่งสามารถพบมากถึง 90% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้
2. อาการทางระบบหลอดเลือดดำ คือ อาการที่หลอดเลือดดำโดนกดทับ ทำให้เกิดอาการบวมบริเวณแขน เนื่องจากหลอดเลือดดำไม่สามารถนำเลือดกลับสู่หัวใจได้ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ส่วนใหญ่พบในกลุ่มคนที่ใช้กล้ามเนื้อแขนข้างที่ถนัดในท่าเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน
3. อาการทางระบบหลอดเลือดแดง คืออาการของหลอดเลือดแดงที่โดนกดทับ ทำให้เกิดอาการแขนและมือเย็น ซีด เนื่องจากเลือดจากหลอดเลือดแดงไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะบริเวณนั้นได้ พบในทั้งชายและหญิง ในปริมาณใกล้เคียงกัน มักพบในกลุ่มวัยกลางคน
หรือ มีหลายอาการรวมกัน ตามที่กล่าวมาข้างต้น
สาเหตุ
สาเหตุของโรค Thoracic Outlet Syndrome สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้อหดสั้นหรือตึงตัว การเกิดอุบัติเหตุ การมีเนื้องอก หรือก้อนเนื้อบริเวณไหปลาร้า กระดูกไหปลาร้าหักหรือผิดรูป การบาดเจ็บของเส้นประสาท หรือการเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อหน้าอกมากเกินไป ในนักเพาะกาย โดยจะแบ่งตามตำแหน่งที่เกิดได้ 3 แบบ ดังนี้
1. Interscalene triangle คือ ตำแหน่งจุดเกาะปลายของกล้ามเนื้อ Anterior and Middle Scalene muscles เกิดจากภาวะที่กล้ามเนื้อทั้ง 2 มัด มีความตึงตัวสูง ทำให้หนีบรัดเส้นประสาท
2. Costoclavicular space คือ ตำแหน่งระหว่างกระดูกไหปลาร้ากับกระดูกซี่โครงซี่ที่ 1 เกิดจากการยกตัวของกระดูกซี่โครงซี่ที่ 1 ทำให้ช่องที่ลอดผ่านของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำแคบลง ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงที่แขนและมือไม่ปกติ
3. Subcoracoid space คือ ตำแหน่งบริเวณจุดเกาะต้นของกล้ามเนื้อ Pectoralis minor muscle ที่เป็นกล้ามเนื้อมัดลึกบริเวณหน้าอก ซึ่งเกิดการหดสั้นจนตึงตัวมาก ซึ่งทำให้เส้นประสาท Brachial Plexus และหลอด Axillary Artery & Vein ถูกกดทับ ซึ่งพบได้ในคนทั่วไปที่ชอบนอนแขนหนุนศีรษะ หรือคนที่มีท่าทางห่อไหล่ตลอดเวลา
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมให้เกิดโรค Thoracic Outlet Syndrome สามารถเกิดจาก การปรับเก้าอี้นั่งทำงานไม่เหมาะสม เช่น นั่งหลังค่อมหรือห่อไหล่ ติดต่อกันเป็นเวลานาน
หรือ อาชีพที่ใช้แขนในท่าเดิมนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ สะบัก ตึงตัวมาก เช่น ช่างทาสี จิตรกร นักกีฬาว่ายน้ำ และนักเพาะกายที่เพิ่มกล้ามเนื้อหน้าอกมากจนเกินไป จนกดทับเส้นประสาทบริเวณหน้าอก รวมถึงผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
กายภาพบำบัด
โรค Thoracic Outlet Syndrome อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ และมีหลายปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอาการ
ดังนั้นเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายตามอาการดังกล่าวไว้ข้างต้น ควรพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจร่างกายหาสาเหตุของโรค และการรักษาที่ตรงจุด จะทำให้คนไข้กลับมาใช้ชีวิตประจำได้อย่างมีความสุข
โดยการรักษาทางกายภาพบำบัด จะเน้นไปที่
- การลดอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ และสะบัก
- ขยับ ดัด ดึง กระดูกซี่โครงซี่ที่ 1 (Mobilization)
- การปรับเปลี่ยนท่าทางการนั่งให้ถูกต้องตามหลัก Ergonomics (การยศาสตร์)
- เน้นการยืดกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และลดโอกาสบาดเจ็บซ้ำในอนาคต
หากท่านใดเป็น Thoracic Outlet Syndrome ทางคลินิกกายภาพบำบัด เบรน รีแฮบ มีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะรักษาท่านอย่างตรงจุด
Assessment
Ultrasound
Shockwave
Electrical Stimulation
Gun Massage
Joint Mobilization
Manual Traction
Stretching
Hot/Cold Compress
Exercises
Home Program
Posture Correction
คำถามที่พบบ่อย
กายภาพบำบัด คืออะไร
กายภาพบำบัด เป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการรักษา ส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การบรรเทาอาการปวด การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย จากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ยาและหลีกเลี่ยงการผ่าตัด แบ่งขั้นตอนการรักษาออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
Manual Techniques เป็นเทคนิคในการรักษาด้วยมือ ที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยับข้อต่อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Mobilization) การขยับ ดัด ดึงข้อต่อ (Manipulation) การดึงคอ-ดึงหลัง (Manual Traction) และการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)
Modalities เป็นการใช้เครื่องมือทางกายภาพฯ เพื่อช่วยลดปวดและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องช็อคเวฟ เครื่องอัลตราซาวด์ และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
Exercises หลังจากที่อาการปวดลดลงแล้วการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ในกรณีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเดิน จะเน้นฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อส่วนล่างที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
กายภาพฯ จะช่วยให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ลดปวด และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ…
ทำไมต้อง เบรน รีแฮบ คลินิก?
คนไข้สามารถติดต่อ ปรึกษาปัญหาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรามีการติดตามอาการ ผลการรักษา ตลอดจนให้คำปรึกษาในการดูแลตนเองเบื้องต้น จนกว่าจะถึงนัดหมายครั้งถัดไป
นอกจากนี้ ทั้งสาขาอโศกและสาขานนทบุรี ยังมีที่จอดรถ เดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS หรือ MRT
อะไรคือ ความแตกต่าง?
นักกายภาพฯ ของเรามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า คนไข้จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
มีการรักษา 8 ขั้นตอนหรือไม่?
ไม่มี เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคนไข้ เช่น การกระตุ้นไฟฟ้า ไม่ได้เหมาะสมกับการรักษาทุกเคส ดังนั้น เราจึงใช้เวลาเพื่อโฟกัสกับการรักษาที่ได้ผลที่สุด
แล้วแนวทางการรักษา คืออะไร?
1. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ของนักกายภาพฯ แต่ละท่านที่มากกว่า 10 ปี คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำ ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการรักษาทางกายภาพบำบัดที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด
อาการปวดในตำแหน่งเดียวกัน อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ประสบการณ์ของนักกายภาพฯ ที่คลินิก จะช่วยตรวจประเมิน วางแผนการรักษา และดำเนินการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
หากคนไข้มีอาการที่รุนแรง น่าสงสัย หรือได้รับอุบัติเหตุ เราจะแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น X-Ray, CT Scan และ MRI เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากมีผลการตรวจรังสีวินิจฉัยอยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ประกอบการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
ในบางกรณี นักกายภาพฯ ของเราจะทำงานร่วมกับแพทย์ในการวางแผนการรักษา และร่วมมือกับ Fitness Trainer ในการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด
2. Manual Therapy นักกายภาพฯ ที่คลินิกของเรา ล้วนมีความเชี่ยวชาญด้าน Manual Therapy (หัตถบำบัด) ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการบรรเทาอาการอักเสบของจุด Trigger Point ซึ่งมักเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเรื้อรัง การรักษาประกอบด้วยหลายเทคนิค เช่น การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึงตัว การขยับข้อต่อและเนื้อเยื่อโดยรอบ (Mobilization) เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และการดึงคอ-หลัง (Manual Traction) เพื่อลดแรงกดทับต่อเส้นประสาท
เทคนิคเหล่านี้ถือเป็นแนวทางการรักษาหลักทางกายภาพฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก
3. เครื่องมือ คลินิกของเรายังนำเครื่องมือที่ทันสมัย (Modalities) เช่น เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) มาประกอบการรักษา เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ฯลฯ
ทั้งนี้ นักกายภาพฯ จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการรักษาของแต่ละอาการ เช่น ผู้ที่มีภาวะกระดูกเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) ในการรักษาบริเวณนั้นๆ เพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
4. การออกกำลังกาย (Therapeutic Exercises) เป็นอีกหนึ่งในวิธีการรักษาหลักทางกายภาพฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ให้มีความสมดุลกันทั้งสองฝั่ง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว (Increase Range of Motion) และป้องกันอาการบาดเจ็บซ้ำๆที่จุดเดิม
นอกจากนี้ ยังช่วยปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน (Posture Correction) ไม่ว่าจะเป็นท่านอน ท่านั่ง ท่ายืนและท่าเดิน ให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในอนาคต
5. ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรคและติดตามผลการรักษา เรามุ่งเน้นให้คนไข้มีความเข้าใจเกี่ยวกับรอยโรคหรือภาวะที่เป็นอยู่ เพื่อที่จะปฎิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม และเพื่อหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ เรายังติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้คำปรึกษา คำแนะนำ จนกว่ามั่นใจว่า คนไข้จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างมั่นใจ
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา “คลินิกกายภาพบำบัด ใกล้ฉัน” ควรสอบถามแนวทางการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางการรักษานั้นเหมาะสมกับตนเอง และอาการที่เป็น อีกทั้ง ควรเลือกคลินิกที่มีนักกายภาพฯ ที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการตรวจร่างกายได้อย่างตรงจุด เพื่อการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หายเร็ว หายขาด ปลอดภัย และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ท่านสามารถปรึกษาอาการเบื้องต้นกับเรา ได้ทางโทรศัพท์หรือทาง LINE OA
หากไม่รักษา เดี๋ยวอาการปวดก็หายไปเอง ใช่หรือไม่?
ร่างกายของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เนื่องจาก เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวหรือใช้งานตลอดเวลา ทำให้การซ่อมแซมตัวเองเป็นไปได้ยากมากขึ้น หากมีอาการปวดที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แนะนำให้เข้ามารักษาทางกายภาพฯ จะช่วยให้หายไวขึ้น อาการปวดจากการบาดเจ็บลดลง และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง
ควรเข้ารับการรักษากี่ครั้ง ความถี่เท่าไหร่?
ขึ้นอยู่กับอาการ เช่น อาการเส้นเอ็นอักเสบจะใช้เวลารักษานานกว่ากล้ามเนื้ออักเสบ ส่วนโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในบางกรณีสามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรเข้ารับการรักษาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความต่อเนื่องของการรักษาและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
แม้ว่าระดับความทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้หายเร็วและไม่เรื้อรัง
อาการดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาต่อหรือหยุดการรักษาได้ จริงหรือไม่?
การรักษาทางกายภาพฯ จำเป็นต้องใช้ความต่อเนื่องในการเข้ารับการรักษา เพื่อให้หายขาด และป้องกันไม่ให้อาการกลับมา เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าที่ใช้ในการรักษา จะได้ผลเฉพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากคนไข้หยุดการรักษากลางคัน ก็เปรียบเสมือนกับการรับประทานยาที่ไม่ครบโดส ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ หรือกลายเป็นอาการเรื้อรังได้
จากสถิติของทางคลินิกฯ คนไข้ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่ตำแหน่งเดิม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมของคนไข้ด้วย
การออกกำลังกายโดยนักกายภาพฯ แตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปอย่างไร?
การออกกำลังกายทางกายภาพฯ ไม่ได้เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเราจะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหา และออกแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จุดเดิม
นอกจากการรักษาแล้ว ยังเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่ช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลในการรักษาแต่ละครั้ง ให้เหมาะกับสภาพกล้ามเนื้อ ณ ขณะนั้น
โรคอะไรที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีทางกายภาพฯ?
นัดหมาย
085-9966-353Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
ที่จอดรถ เลี้ยวเข้าซอย อยู่หัวมุม