McKenzie Exercises

McKenzie Exercises ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของ Therapeutic Exercises ซึ่งเป็นการออกกำลังกายเพื่อการบำบัดรักษาทางกายภาพบำบัด เป็นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนสำหรับหลังส่วนล่าง เพื่อช่วยลดอาการปวดหลังร้าวลงขาด้วยตนเอง รวมถึงการป้องกันอาการปวดหลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย แต่คนไข้จำเป็นต้องได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเสียก่อน ว่ารอยโรคของคนไข้มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดในการออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่หรือไม่ ดังนั้น การออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่จึงไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน เหมือนกับรูปแบบการออกกำลังกายอื่นๆ
ในปัจจุบัน นักกายภาพบำบัดนิยมผนวกการออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่เข้ากับการออกกำลังกายรูปแบบอื่นๆ เพื่อให้เหมาะสมสำหรับรอยโรคของคนไข้แต่ละท่าน เพื่อผลการรักษาที่ได้ผลดียิ่งขึ้น
ในบทความนี้ เราจะกล่าวถึงบทบาทของการออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่ ว่าช่วยลดอาการปวดหลังร้าวลงขาได้อย่างไร เหมาะกับใคร และข้อห้าม-ข้อควรระวัง…
McKenzie Exercises คืออะไร
McKenzie Exercises หรือ การออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่ เป็นการออกกำลังกายเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่างและอาการร้าวลงขา ถูกคิดค้นโดย Robin Anthony McKenzie นักกายภาพบำบัดชาวนิวซีแลนด์ เป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง เพื่อแก้ไขปัญหาอาการปวดร้าว จากกระดูกสันหลังทั้งส่วนคอและหลังส่วนล่าง โดยใช้วิธีการปรับท่าทางให้เหมาะสม และเคลื่อนไหวซ้ำๆ เพื่อย้ายตำแหน่งอาการปวดให้กลับเข้าสู่แกนกลางลำตัว
การออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่ ถูกออกแบบตามหลัก The McKenzie Method ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ MDT (Mechanical Diagnosis and Therapy) ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้วินิจฉัยและบำบัดโรคทางกระดูกสันหลัง สามารถใช้ได้ตั้งแต่การประเมินเบื้องต้น การจำแนกอาการ การบรรเทาและรักษาอาการปวดหลังด้วยตนเอง รวมถึงการป้องกันอาการปวดหลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย
หากท่านมีอาการปวดหลังรุนแรงหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ชาหรืออ่อนแรง ควรไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม

ประเภท

ตามวิธีการของแมคเคนซี (McKenzie Method) เราสามารถแบ่งอาการปวดหลังตามอาการที่แสดงออกมา ออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ได้แก่
1. กลุ่มอาการของการทรงท่า (Postural syndrome) เป็นอาการปวดหลังที่เกิดจากหลอดเลือดและเนื้อเยื่อเสียหาย เนื่องจากการทำงานซ้ำๆในท่าเดิมเป็นเวลานาน เช่น การยืน เดิน หรือนั่งเป็นเวลานานต่อเนื่องกันในแต่ละวัน
2. กลุ่มอาการผิดปกติของการทำงาน (Dysfunction syndrome) เป็นอาการปวดหลังที่เกิดจากโครงสร้างของเนื้อเยื่อเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บต่างๆ การอักเสบ หรือการเสื่อมตามอายุ ทำให้มีการเคลื่อนไหวที่จำกัดและอาการปวดเกิดขึ้น
3. กลุ่มอาการผิดปกติของแนวกระดูกสันหลัง (Derangement syndrome) เป็นอาการปวดหลังที่พบได้บ่อยที่สุดประมาณ 78% มีสาเหตุมาจากการเคลื่อนของเนื้อเยื่อภายในข้อต่อ (Articular tissue) ทำให้แนวตำแหน่งของข้อต่อถูกรบกวน เกิดการผิดรูปของแคปซูล และเอ็นยึดข้อต่อ ส่งผลให้แนวการวางตัวของข้อต่อผิดปกติ เกิดอาการปวดและการเคลื่อนไหวถูกจำกัดในที่สุด
เหมาะกับใคร
การออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่ เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง ร้าวลงขาหรือร้าวไปแขน เช่น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งจะช่วยลดปวดจากการกดทับเส้นประสาท บริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอและหลังส่วนล่าง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ควรได้รับการแนะนำโดยแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจวินิจฉัยสาเหตุของอาการปวดหลัง รวมถึงการออกแบบท่าออกกำลังกายที่ถูกต้อง เช่น หากคุณได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังหัก โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) หรือผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกฯ การออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่ไม่เหมาะสมกับคุณ

ข้อมูลสนับสนุน

อาการปวดของผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลัง จะเริ่มจากแนวกระดูกสันหลัง และปวดร้าวไปส่วนรยางค์ เช่น แขนและขา
Albert HB และคณะฯ (2012) พบว่าเราสามารถลดอาการปวดร้าวลงขา (Sciatica pain) โดยการเคลือนไหวซ้ำๆ เพื่อย้ายตำแหน่งอาการปวดร้าวจากขาเข้าสู่แนวกระดูกสันหลังหรือจุดศูนย์กลางมากขึ้น (Centralization)
Donelson R และคณะฯ (1991) พบว่าอาการปวดร้าวลงขา สามารถลดลงได้จากการทำท่าแอ่นหลัง จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมการออกกำลังกายโดยท่าแอ่นหลัง มักถูกเรียกว่า การออกกำลังกายแบบ McKernzie
Anatomy เบื้องต้น
หมอนรองกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่เป็นข้อต่อ ทำให้เราสามารถเคลื่อนไหวได้ในท่างอ เหยียด เอนไปทางด้านข้าง และหมุนตัว แต่ละส่วนประกอบด้วย ส่วนนอก และส่วนใน (Nucleus Pulposus) มีหน้าที่รองรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกต่างๆ บางครั้งอาจเกิดการฉีกขาดของส่วนนอก ซึ่งหมายถึงภาวะการยื่น ปลิ้นหรือแตกออกมา ทำให้ส่วนในเคลื่อนที่ออกมากดทับเส้นประสาท จึงเกิดอาการปวดร้าวไปตามแนวที่เส้นประสาทวิ่งผ่าน มักเกิดขึ้นจากการที่หมอนรองกระดูกสันหลังได้รับแรงกดมากจนเกินไป
การออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่ สามารถลดอาการชา ปวดร้าวลงขาให้กลับเข้าสู่จุดศูนย์กลาง (Centralization) นั้น สามารถอธิบายโดยใช้หลัก “Dynamic Disc Model” ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของหลังซ้ำๆ เพื่อทำให้นิวเคลียสภายในหมอนรองกระดูกสันหลังเกิดการเคลื่อนที่ โดยใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายเพื่อดัน (pumping) Nucleus Pulposus ที่ปลิ้นออกมา ให้กลับเข้าไปอยู่ภายในหมอนรองกระดูกสันหลัง ส่งผลให้การรบกวนเส้นประสาทลดลง และอาการชา ปวดร้าวลงขา จะค่อยๆขยับเข้าสู่จุดศูนย์กลางของร่างกาย (Centralization) แสดงว่าการออกกำลังกายแบบแมคเคนซี่ ได้ผลสำหรับอาการของคนไข้นั่นเอง
นอกจากนี้ การขยับซ้ำๆ ทำให้มีเลือดไหลเวียนมาเลี้ยงเส้นประสาทเพิ่มขึ้น (Vasa nervorum) จากการบีบและคลายของหลอดเลือด แม้ว่ามีการฉีกขาดของ Nucleus Pulposus ก็ตาม

ท่าออกกำลังกาย

ท่าออกกำลังกาย McKenzie exercise ที่นิยม ได้แก่
- ท่านอนคว่ำ (Lying prone) ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนคว่ำ แขนอยู่ข้างลำตัว ศีรษะหันไปด้านใดด้านหนึ่ง ท่านี้จะช่วยเพิ่มความโค้ง (lordosis) ของกระดูกสันหลังส่วนเอวได้
- ท่านอนคว่ำชันศอก (Prone extension) นอนคว่ำโดยชันศอกทั้งสองข้างขึ้น ค้างไว้ 5-10 วินาที เป็นอีกท่าหนึ่งที่ช่วยในการลดการกดทับต่อหมอนรองกระดูกสันหลัง
- ท่านอนคว่ำชันศอก-เหยียดแขนสุด (Prone extension with arms extended) เป็นท่าที่ท่าออกกำลังกายให้มีการแอ่นหลังมากขึ้น หรือเป็นที่รู้จักในท่าซุปเปอร์แมน
- The Low Back Side Glide Exercise for Sciatica
- The Flexion Rotation Exercise for Low Back Pain
- Standing Lumbar Extension
- Standing Lumbar Flexion for Low Back Pain
ข้อควรระวัง
การออกกำลังกายแบบ McKenzie ควรเริ่มจากช้าๆ เพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับการเคลื่อนไหวในทิศทางนั้นๆ หากท่านใดรู้สึกปวดหลังเล็กน้อย ขณะเริ่มออกกำลังกาย ให้หยุดพักจนกว่าอาการปวดทุเลาลง จึงสามารถออกกำลังกายต่อได้ ให้ลองสังเกตว่าอาการปวดย้ายตำแหน่งเข้าสู่แนวกระดูกสันหลังหรือไม่ หากใช่ แสดงว่า การออกกำลังกายเหมาะสมกับอาการปวด ให้ทำท่าใดท่าหนึ่งไปเรื่อยๆ จนไม่มีอาการปวด ถึงสามารถออกกำลังกายท่าถัดไปได้
แต่ในขณะเดียวกัน หากท่านมีอาการชาหรือปวดร้าวขณะออกกำลังกาย ให้หยุด เนื่องจากการออกกำลังกายแบบ McKernzie อาจจะไม่เหมาะสมกับอาการของท่าน หรือท่านอาจจะออกกำลังกายในท่าที่ผิด
ทางคลินิกกายภาพบำบัด เบรน รีแฮบ ยินดีให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่มีปัญหาปวดหลังร้าวลงขาทุกๆท่าน เพื่อการรักษา และฟื้นฟูที่ถูกต้อง…

Assessment
Ultrasound
Shockwave
Electrical Stimulation
Gun Massage
Joint Mobilization
Manual Traction
Stretching
Hot/Cold Compress
Exercises
Home Program
Posture Correction
คำถามที่พบบ่อย
กายภาพบำบัด คืออะไร
กายภาพบำบัด เป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการรักษา ส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การบรรเทาอาการปวด การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย จากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ยาและหลีกเลี่ยงการผ่าตัด แบ่งขั้นตอนการรักษาออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
Manual Techniques เป็นเทคนิคในการรักษาด้วยมือ ที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยับข้อต่อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Mobilization) การขยับ ดัด ดึงข้อต่อ (Manipulation) การดึงคอ-ดึงหลัง (Manual Traction) และการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)
Modalities เป็นการใช้เครื่องมือทางกายภาพฯ เพื่อช่วยลดปวดและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องช็อคเวฟ เครื่องอัลตราซาวด์ และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
Exercises หลังจากที่อาการปวดลดลงแล้วการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ในกรณีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเดิน จะเน้นฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อส่วนล่างที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
กายภาพฯ จะช่วยให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ลดปวด และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ…
ทำไมต้อง เบรน รีแฮบ คลินิก?
คนไข้สามารถติดต่อ ปรึกษาปัญหาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรามีการติดตามอาการ ผลการรักษา ตลอดจนให้คำปรึกษาในการดูแลตนเองเบื้องต้น จนกว่าจะถึงนัดหมายครั้งถัดไป
นอกจากนี้ ทั้งสาขาอโศกและสาขานนทบุรี ยังมีที่จอดรถ เดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS หรือ MRT
อะไรคือ ความแตกต่าง?
นักกายภาพฯ ของเรามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า คนไข้จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
มีการรักษา 8 ขั้นตอนหรือไม่?
ไม่มี เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคนไข้ เช่น การกระตุ้นไฟฟ้า ไม่ได้เหมาะสมกับการรักษาทุกเคส ดังนั้น เราจึงใช้เวลาเพื่อโฟกัสกับการรักษาที่ได้ผลที่สุด
แล้วแนวทางการรักษา คืออะไร?
1. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ของนักกายภาพฯ แต่ละท่านที่มากกว่า 10 ปี คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำ ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการรักษาทางกายภาพบำบัดที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด
อาการปวดในตำแหน่งเดียวกัน อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ประสบการณ์ของนักกายภาพฯ ที่คลินิก จะช่วยตรวจประเมิน วางแผนการรักษา และดำเนินการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
หากคนไข้มีอาการที่รุนแรง น่าสงสัย หรือได้รับอุบัติเหตุ เราจะแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น X-Ray, CT Scan และ MRI เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากมีผลการตรวจรังสีวินิจฉัยอยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ประกอบการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
ในบางกรณี นักกายภาพฯ ของเราจะทำงานร่วมกับแพทย์ในการวางแผนการรักษา และร่วมมือกับ Fitness Trainer ในการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด
2. Manual Therapy นักกายภาพฯ ที่คลินิกของเรา ล้วนมีความเชี่ยวชาญด้าน Manual Therapy (หัตถบำบัด) ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการบรรเทาอาการอักเสบของจุด Trigger Point ซึ่งมักเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเรื้อรัง การรักษาประกอบด้วยหลายเทคนิค เช่น การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึงตัว การขยับข้อต่อและเนื้อเยื่อโดยรอบ (Mobilization) เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และการดึงคอ-หลัง (Manual Traction) เพื่อลดแรงกดทับต่อเส้นประสาท
เทคนิคเหล่านี้ถือเป็นแนวทางการรักษาหลักทางกายภาพฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก
3. เครื่องมือ คลินิกของเรายังนำเครื่องมือที่ทันสมัย (Modalities) เช่น เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) มาประกอบการรักษา เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ฯลฯ
ทั้งนี้ นักกายภาพฯ จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการรักษาของแต่ละอาการ เช่น ผู้ที่มีภาวะกระดูกเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) ในการรักษาบริเวณนั้นๆ เพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
4. การออกกำลังกาย (Therapeutic Exercises) เป็นอีกหนึ่งในวิธีการรักษาหลักทางกายภาพฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ให้มีความสมดุลกันทั้งสองฝั่ง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว (Increase Range of Motion) และป้องกันอาการบาดเจ็บซ้ำๆที่จุดเดิม
นอกจากนี้ ยังช่วยปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน (Posture Correction) ไม่ว่าจะเป็นท่านอน ท่านั่ง ท่ายืนและท่าเดิน ให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในอนาคต
5. ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรคและติดตามผลการรักษา เรามุ่งเน้นให้คนไข้มีความเข้าใจเกี่ยวกับรอยโรคหรือภาวะที่เป็นอยู่ เพื่อที่จะปฎิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม และเพื่อหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ เรายังติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้คำปรึกษา คำแนะนำ จนกว่ามั่นใจว่า คนไข้จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างมั่นใจ
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา “คลินิกกายภาพบำบัด ใกล้ฉัน” ควรสอบถามแนวทางการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางการรักษานั้นเหมาะสมกับตนเอง และอาการที่เป็น อีกทั้ง ควรเลือกคลินิกที่มีนักกายภาพฯ ที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการตรวจร่างกายได้อย่างตรงจุด เพื่อการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หายเร็ว หายขาด ปลอดภัย และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ท่านสามารถปรึกษาอาการเบื้องต้นกับเรา ได้ทางโทรศัพท์หรือทาง LINE OA
หากไม่รักษา เดี๋ยวอาการปวดก็หายไปเอง ใช่หรือไม่?
ร่างกายของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เนื่องจาก เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวหรือใช้งานตลอดเวลา ทำให้การซ่อมแซมตัวเองเป็นไปได้ยากมากขึ้น หากมีอาการปวดที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แนะนำให้เข้ามารักษาทางกายภาพฯ จะช่วยให้หายไวขึ้น อาการปวดจากการบาดเจ็บลดลง และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง
ควรเข้ารับการรักษากี่ครั้ง ความถี่เท่าไหร่?
ขึ้นอยู่กับอาการ เช่น อาการเส้นเอ็นอักเสบจะใช้เวลารักษานานกว่ากล้ามเนื้ออักเสบ ส่วนโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในบางกรณีสามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรเข้ารับการรักษาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความต่อเนื่องของการรักษาและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
แม้ว่าระดับความทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้หายเร็วและไม่เรื้อรัง
อาการดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาต่อหรือหยุดการรักษาได้ จริงหรือไม่?
การรักษาทางกายภาพฯ จำเป็นต้องใช้ความต่อเนื่องในการเข้ารับการรักษา เพื่อให้หายขาด และป้องกันไม่ให้อาการกลับมา เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าที่ใช้ในการรักษา จะได้ผลเฉพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากคนไข้หยุดการรักษากลางคัน ก็เปรียบเสมือนกับการรับประทานยาที่ไม่ครบโดส ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ หรือกลายเป็นอาการเรื้อรังได้
จากสถิติของทางคลินิกฯ คนไข้ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่ตำแหน่งเดิม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมของคนไข้ด้วย
การออกกำลังกายโดยนักกายภาพฯ แตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปอย่างไร?
การออกกำลังกายทางกายภาพฯ ไม่ได้เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเราจะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหา และออกแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จุดเดิม
นอกจากการรักษาแล้ว ยังเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่ช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลในการรักษาแต่ละครั้ง ให้เหมาะกับสภาพกล้ามเนื้อ ณ ขณะนั้น
โรคอะไรที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีทางกายภาพฯ?
นัดหมาย
085-9966-353Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
ที่จอดรถ เลี้ยวเข้าซอย อยู่หัวมุม