กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว | Core Stabilization

การออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว เกี่ยวอะไรกับกายภาพบำบัด? วันนี้เราจะพามารู้จักกับ “Core Stabilization” หรือกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวว่าคืออะไร ระบบที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง สำคัญอย่างไร
รวมถึงกลุ่มอาการต่างๆ ที่สามารถลดปวด ฟื้นฟู คงสภาพ ได้ด้วยการออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
Core Stabilization คืออะไร
“Core” แปลว่า แกนกลาง ส่วน “Stabilization” แปลว่า การทำให้มั่นคง ดังนั้น “Core Stabilization” จะแปลว่า การทำให้แกนกลางมั่นคง
ในที่นี้ เราจะหมายถึง การทำให้แกนกลางลำตัวมั่นคง ซึ่งเป็นบริเวณจุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังระดับเอว กระดูกเชิงกรานและสะโพก มีกลุ่มกล้ามเนื้อสำคัญ ๆ ได้แก่ กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อสะโพกและอุ้งเชิงกราน เกือบทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน อาศัยการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวทั้งสิ้น รวมถึงการเคลื่อนไหวของแขนและขาด้วย

ระบบที่เกี่ยวข้อง

การควบคุมการเคลื่อนไหวของแกนกลางลำตัว จะมีระบบที่เกี่ยวข้อง 3 ระบบที่ทำงานร่วมกัน ดังนี้
1. ระบบประสาท (Neuromuscular Control) ทำหน้าที่สั่งการและควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ
2. ระบบกระดูกและเส้นเอ็น (Osseous and Ligamentous Elements) ได้แก่ กระดูก ข้อต่อ หมอนรองกระดูกสันหลัง เอ็นยึดกระดูก จัดว่าเป็นส่วนที่ยึด ทำให้เกินความมั่นคงของร่างกาย โดยที่ยังไม่ต้องออกแรงกล้ามเนื้อ หรือเรียกว่า Passive Subsystem
3. ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular Elements) เป็นส่วนที่เราสามารถออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ความทนทาน ความสามารถในการควบคุมการทำงานระหว่างกล้ามเนื้อมัดต่างๆ รวมถึงความมั่นคงของกระดูกสันหลังได้ เราจึงเรียกส่วนนี้ว่า Active Subsystem
ระบบกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งระบบกล้ามเนื้อ จะเรียงตัวกันคล้ายกล่องสี่เหลี่ยม (Muscular Box) โดยมีกล้ามเนื้อสำคัญๆ ดังนี้
- กล้ามเนื้อกระบังลม (Diaphragm) อยู่ทางด้านบน เปรียบได้กับ ฝาของกล่อง
- กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic floor) และกล้ามเนื้อรอบข้อสะโพก (Hip muscles) อยู่ทางด้านล่างของกล่อง
- โดยรอบกล่อง จะมีกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านหน้า (Abdominal muscles) กล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้าง (External & Internal oblique muscles) และ กล้ามเนื้อด้านหลัง (Paraspinal & Multifidus muscles)

ความสำคัญ

กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว มีหน้าที่สำคัญ คือ ช่วยพยุงแกนกลางลำตัวให้ตรง เพิ่มความมั่นคงและสมดุลให้กับกระดูกสันหลังในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการเคลื่อนไหวของแขนและขา
ดังนั้น หากใครมีกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวแข็งแรง ทนทานและยืดหยุ่น ก็จะทำให้สามารถควบคุมการทรงตัวและการเคลื่อนไหวของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เล่นกีฬาได้ดีขึ้น เช่น หากนักวิ่งมีกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่ไม่แข็งแรง จะทำให้ทรงตัวไม่ดี เกิดแรงบิด และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อสะโพก ข้อเข่า หรือข้อเท้าได้
นอกจากนี้ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่แข็งแรง จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บต่อกระดูกสันหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว จะช่วยรับแรงที่กระทำต่อกระดูกสันหลังโดยตรง รวมถึงช่วยลดอาการปวดหลังหลังส่วนล่างต่างๆอีกด้วย
หากไม่แข็งแรง ส่งผลอย่างไร
ปี 1992 Crisco และคณะฯ ได้ทำการวิจัยความสามารถในการรับแรงกดของกระดูกสันหลังระดับเอว (Lumbar) จากร่างอาจารย์ใหญ่ โดยที่ไม่มีกล้ามเนื้อรอบๆ พบว่า แรงกดตามแนวกระดูกสันหลังโดยเฉลี่ยเพียง 88 นิวตันหรือประมาณ 9 กิโลกรัม ก็ทำให้กระดูกสันหลังแตกหักได้แล้ว
แต่ในความเป็นจริง น้ำหนักตัวของร่างกายท่อนบนเยอะกว่านั้นมาก หากกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวไม่แข็งแรง จะทำให้กระดูกสันหลังไม่มั่นคงและไม่สามารถรับแรงที่มากระทำต่อกระดูกสันหลังได้ ทั้งแรงภายใน เช่น น้ำหนักตัว และแรงภายนอก เช่น การยกของหนัก ฯลฯ ก็อาจส่งผลให้มีอาการปวดหลังตามมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น แกนกลางของร่างกาย เป็นที่ยึดของแขนและขา หากที่ยึดไม่แข็งแรงและไม่ยืดหยุ่น การเคลื่อนไหวของร่างกายในการทำกิจกรรมต่างๆ ก็อาจไม่คล่องตัว อาจเกิดการบาดเจ็บต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ในอีกแง่หนึ่ง หากกล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งแข็งแรงน้อยกว่ามัดอื่น จะส่งผลให้กล้ามเนื้อมัดอื่นทำงานแทน จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดในที่สุด เช่น หากกล้ามเนื้อหลังด้านซ้ายอ่อนแรงลง กล้ามเนื้อด้านขวาจะทำงานมากกว่าเพื่อชดเชย ทำให้เกิด Muscle Imbalance ขึ้น ส่งผลให้เส้นเอ็นทั้งสองข้างแข็งแรงไม่เท่ากัน จึงไม่สามารถยึดกระดูกให้อยู่ในแนวเส้นตรงได้ ทำให้กระดูกสันหลังคดหรือบิด ตามแรงตึงตัวของกล้ามเนื้อที่ไม่สมดุลได้

การออกกำลังกาย ช่วยอะไร

การฝึกออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว จะช่วยอะไรบ้าง
1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่เพิ่มขึ้น จะทำให้กระดูกสันหลังมั่นคงยิ่งขึ้น
2. ช่วยทำให้บุคลิกภาพ ท่าทาง การทรงตัว รูปร่างดีขึ้น
3. ช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. บรรเทาอาการปวด โดยเฉพาะยิ่ง อาการปวดหลังส่วนล่าง
5. ป้องกันการบาดเจ็บ โดยกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่แข็งแรง จะลดแรงที่กระทำต่อกระดูกสันหลังลง
6. ช่วยให้ประสิทธิภาพการหายใจดีขึ้น เนื่องจากกล้ามเนื้อกระบังลมแข็งแรง
ท่าออกกำลังกาย
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า การออกกำลังกาย Core Stabilization คือ การทำให้กล้ามเนื้อแกนกลางแข็งแรง (Core muscles) หรือ เน้นไปที่การเพิ่มขนาดและกำลังของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวเพียงอย่างเดียว ที่จริงแล้ว การฝึกออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core stabilization exercises) จะเน้นไปที่การควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ซึ่งต้องอาศัยทั้งความแข็งแรง ความทนทาน ความยืดหยุ่น และการทำงานประสานงานกันของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อหลังส่วนลึก กล้ามเนื้อสะโพก และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการทรงตัว รองรับน้ำหนัก และการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ท่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว มีหลายท่า ซึ่งสามารถเลือกท่าที่เหมาะสมกับระดับความแข็งแรงและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลได้ เราขอยกตัวอย่างท่าออกกำลังกาย core stabilization ที่สามารถทำกันเองได้ที่บ้าน ซึ่งแต่ละท่า จะมีความยาก-ง่ายแตกต่างกัน ตามความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว เช่น
– ท่าแขม่วท้อง
– ท่า ForwardPlank
– ท่าSide Plank
– ท่า Bridge
– ท่าSuperman
– ท่าDead Bug
– ท่าBird Dog
* อย่าลืมอบอุ่นร่างกาย ก่อนและหลังการออกกำลังกาย (Warm up and Cool down) โดยเริ่มออกกำลังกายจากท่าที่ง่ายๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับความยากขึ้นตามลำดับ ควรออกกำลังกาย core stabilizer อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

กายภาพบำบัด

ในทางกายภาพบำบัด จะนำการออกกำลังกายกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว มารักษา/ฟื้นฟู/คงสภาพ อาการเหล่านี้
– ปวดหลังส่วนล่าง
– ปวดสะโพก
– บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
– ผู้สูงอายุ
– หลังการผ่าตัดหลัง/ช่องท้อง
– โรคกระดูกสันหลัง เช่น กระดูกสันหลังคด หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ฯลฯ
เพื่อเพิ่มความแข็งแรง องศาการเคลื่อนไหว และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คนไข้สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติมากที่สุด
Assessment
Ultrasound
Shockwave
Electrical Stimulation
Gun Massage
Joint Mobilization
Manual Traction
Stretching
Hot/Cold Compress
Exercises
Home Program
Posture Correction
คำถามที่พบบ่อย
กายภาพบำบัด คืออะไร
กายภาพบำบัด เป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการรักษา ส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การบรรเทาอาการปวด การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย จากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ยาและหลีกเลี่ยงการผ่าตัด แบ่งขั้นตอนการรักษาออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
Manual Techniques เป็นเทคนิคในการรักษาด้วยมือ ที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยับข้อต่อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Mobilization) การขยับ ดัด ดึงข้อต่อ (Manipulation) การดึงคอ-ดึงหลัง (Manual Traction) และการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)
Modalities เป็นการใช้เครื่องมือทางกายภาพฯ เพื่อช่วยลดปวดและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องช็อคเวฟ เครื่องอัลตราซาวด์ และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
Exercises หลังจากที่อาการปวดลดลงแล้วการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ในกรณีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเดิน จะเน้นฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อส่วนล่างที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
กายภาพฯ จะช่วยให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ลดปวด และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ…
ทำไมต้อง เบรน รีแฮบ คลินิก?
คนไข้สามารถติดต่อ ปรึกษาปัญหาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรามีการติดตามอาการ ผลการรักษา ตลอดจนให้คำปรึกษาในการดูแลตนเองเบื้องต้น จนกว่าจะถึงนัดหมายครั้งถัดไป
นอกจากนี้ ทั้งสาขาอโศกและสาขานนทบุรี ยังมีที่จอดรถ เดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS หรือ MRT
อะไรคือ ความแตกต่าง?
นักกายภาพฯ ของเรามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า คนไข้จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
มีการรักษา 8 ขั้นตอนหรือไม่?
ไม่มี เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคนไข้ เช่น การกระตุ้นไฟฟ้า ไม่ได้เหมาะสมกับการรักษาทุกเคส ดังนั้น เราจึงใช้เวลาเพื่อโฟกัสกับการรักษาที่ได้ผลที่สุด
แล้วแนวทางการรักษา คืออะไร?
1. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ของนักกายภาพฯ แต่ละท่านที่มากกว่า 10 ปี คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำ ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการรักษาทางกายภาพบำบัดที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด
อาการปวดในตำแหน่งเดียวกัน อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ประสบการณ์ของนักกายภาพฯ ที่คลินิก จะช่วยตรวจประเมิน วางแผนการรักษา และดำเนินการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
หากคนไข้มีอาการที่รุนแรง น่าสงสัย หรือได้รับอุบัติเหตุ เราจะแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น X-Ray, CT Scan และ MRI เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากมีผลการตรวจรังสีวินิจฉัยอยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ประกอบการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
ในบางกรณี นักกายภาพฯ ของเราจะทำงานร่วมกับแพทย์ในการวางแผนการรักษา และร่วมมือกับ Fitness Trainer ในการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด
2. Manual Therapy นักกายภาพฯ ที่คลินิกของเรา ล้วนมีความเชี่ยวชาญด้าน Manual Therapy (หัตถบำบัด) ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการบรรเทาอาการอักเสบของจุด Trigger Point ซึ่งมักเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเรื้อรัง การรักษาประกอบด้วยหลายเทคนิค เช่น การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึงตัว การขยับข้อต่อและเนื้อเยื่อโดยรอบ (Mobilization) เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และการดึงคอ-หลัง (Manual Traction) เพื่อลดแรงกดทับต่อเส้นประสาท
เทคนิคเหล่านี้ถือเป็นแนวทางการรักษาหลักทางกายภาพฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก
3. เครื่องมือ คลินิกของเรายังนำเครื่องมือที่ทันสมัย (Modalities) เช่น เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) มาประกอบการรักษา เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ฯลฯ
ทั้งนี้ นักกายภาพฯ จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการรักษาของแต่ละอาการ เช่น ผู้ที่มีภาวะกระดูกเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) ในการรักษาบริเวณนั้นๆ เพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
4. การออกกำลังกาย (Therapeutic Exercises) เป็นอีกหนึ่งในวิธีการรักษาหลักทางกายภาพฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ให้มีความสมดุลกันทั้งสองฝั่ง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว (Increase Range of Motion) และป้องกันอาการบาดเจ็บซ้ำๆที่จุดเดิม
นอกจากนี้ ยังช่วยปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน (Posture Correction) ไม่ว่าจะเป็นท่านอน ท่านั่ง ท่ายืนและท่าเดิน ให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในอนาคต
5. ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรคและติดตามผลการรักษา เรามุ่งเน้นให้คนไข้มีความเข้าใจเกี่ยวกับรอยโรคหรือภาวะที่เป็นอยู่ เพื่อที่จะปฎิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม และเพื่อหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ เรายังติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้คำปรึกษา คำแนะนำ จนกว่ามั่นใจว่า คนไข้จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างมั่นใจ
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา “คลินิกกายภาพบำบัด ใกล้ฉัน” ควรสอบถามแนวทางการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางการรักษานั้นเหมาะสมกับตนเอง และอาการที่เป็น อีกทั้ง ควรเลือกคลินิกที่มีนักกายภาพฯ ที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการตรวจร่างกายได้อย่างตรงจุด เพื่อการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หายเร็ว หายขาด ปลอดภัย และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ท่านสามารถปรึกษาอาการเบื้องต้นกับเรา ได้ทางโทรศัพท์หรือทาง LINE OA
หากไม่รักษา เดี๋ยวอาการปวดก็หายไปเอง ใช่หรือไม่?
ร่างกายของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เนื่องจาก เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวหรือใช้งานตลอดเวลา ทำให้การซ่อมแซมตัวเองเป็นไปได้ยากมากขึ้น หากมีอาการปวดที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แนะนำให้เข้ามารักษาทางกายภาพฯ จะช่วยให้หายไวขึ้น อาการปวดจากการบาดเจ็บลดลง และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง
ควรเข้ารับการรักษากี่ครั้ง ความถี่เท่าไหร่?
ขึ้นอยู่กับอาการ เช่น อาการเส้นเอ็นอักเสบจะใช้เวลารักษานานกว่ากล้ามเนื้ออักเสบ ส่วนโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในบางกรณีสามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรเข้ารับการรักษาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความต่อเนื่องของการรักษาและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
แม้ว่าระดับความทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้หายเร็วและไม่เรื้อรัง
อาการดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาต่อหรือหยุดการรักษาได้ จริงหรือไม่?
การรักษาทางกายภาพฯ จำเป็นต้องใช้ความต่อเนื่องในการเข้ารับการรักษา เพื่อให้หายขาด และป้องกันไม่ให้อาการกลับมา เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าที่ใช้ในการรักษา จะได้ผลเฉพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากคนไข้หยุดการรักษากลางคัน ก็เปรียบเสมือนกับการรับประทานยาที่ไม่ครบโดส ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ หรือกลายเป็นอาการเรื้อรังได้
จากสถิติของทางคลินิกฯ คนไข้ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่ตำแหน่งเดิม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมของคนไข้ด้วย
การออกกำลังกายโดยนักกายภาพฯ แตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปอย่างไร?
การออกกำลังกายทางกายภาพฯ ไม่ได้เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเราจะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหา และออกแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จุดเดิม
นอกจากการรักษาแล้ว ยังเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่ช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลในการรักษาแต่ละครั้ง ให้เหมาะกับสภาพกล้ามเนื้อ ณ ขณะนั้น
โรคอะไรที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีทางกายภาพฯ?
นัดหมาย
085-9966-353Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
ที่จอดรถ เลี้ยวเข้าซอย อยู่หัวมุม