ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน | Spondylolisthesis

ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis) เป็นหนึ่งในโรคกระดูกสันหลัง ที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ร้าวลงขา เรามาดูกันว่าเกิดจากอะไร และกายภาพบำบัดช่วยอะไรบ้าง…
คืออะไร
Spondylolisthesis เป็นภาวะที่กระดูกสันหลัง เคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งปกติตามธรรมชาติ อาจจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ข้างหลัง หรือด้านข้างก็ได้ เกิดได้ทั้งบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical spondylolisthesis) และส่วนเอว (Lumbar spondylolisthesis)
แต่ที่มักพบบ่อย จะเป็นบริเวณกระดูกสันหลังระดับเอว โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง L4-L5 เนื่องจากกระดูกสันหลังส่วนนี้จะรับน้ำหนักของร่างกายมากที่สุด โดยจะมีการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลัง L4 ไปทางด้านหน้า ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่พบมากที่สุด ทำให้เกิดการกด บีบ อัด บริเวณหมอนรองกระดูกสันหลังระดับนั้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับไขสันหลัง (Spinal Cord) และเส้นประสาทที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งผลให้ความมั่นคงของกระดูกสันหลังส่วนล่างลดลง
อาการ
- มีอาการปวดหลังส่วนล่างเฉพาะที่ หรือปวดร้าวไปยังส่วนอื่นของร่างกาย เช่น สะโพก ขา และเท้า
- มีอาการปวดหลังส่วนล่างขณะมีการเคลื่อนไหว เช่น ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เดินติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือมีอาการปวดหลังเมื่อมีการก้มหรือแอ่นหลัง อาการมักจะดีขึ้น เมื่อได้นั่งหรือนอนพัก
- มีอาการชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งเป็นผลมาจากอาการบาดเจ็บของเส้นประสาท
- หากมีอาการรุนแรง จะไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้อย่างปกติ
- เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างกระดูกสันหลัง เช่น หลังส่วนล่างแอ่นมากกว่าปกติ
สาเหตุ
มีทั้งปัจจัยทางด้านกายภาพภายในร่างกาย ปัจจัยภายนอก รวมถึงลักษณะสภาพสิ่งแวดล้อม ที่ส่งผลให้มีการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลัง ดังนี้
- ภาวะความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังและกระดูกสันหลัง ทำให้เกิดความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลัง
- เป็นมาแต่กำเนิด
- กระดูกสันหลังส่วน Pars interarticularis แตกหรือหัก ส่งผลให้ข้อกระดูกสันหลังไม่มีตัวยึด จึงสามารถเคลื่อนที่มาข้างหน้ามากกว่าปกติ
- กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวไม่แข็งแรง
- กิจกรรม หรือลักษณะท่าทางการทำงาน ที่ทำให้บริเวณหลังส่วนล่างแอ่นมากเกินไป เช่น กีฬาที่ต้องกระโดด ฯลฯ
- ความผิดปกติของสรีระร่างกาย เช่น ภาวะหลังค่อม หลังแอ่น หรือโรคกระดูกสันหลังคด
- การบาดเจ็บหรือการเกิดอุบัติเหตุ ที่ส่งผลกระทบกับบริเวณหลังโดยตรง
- โรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็งหรือภาวะกระดูกพรุน อาจจะส่งผลให้ความแข็งแรงของกระดูกสันหลังลดลง ทำให้กระดูกสันหลังมีโอกาสเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งมากขึ้น
Spondylolisthesis เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ มักเกิดจากภาวะกระดูกสันหลังเสื่อม ซึ่งเป็นไปตามกลไกของร่างกาย ตามอายุที่มากขึ้น ซึ่งจะพบทั้งการเสื่อมสภาพของตัวกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อ เอ็น หรือข้อต่อที่เกี่ยวข้อง ทำให้โครงสร้างดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นลดลง พื้นผิวข้อต่อขรุขระ สึกกร่อน เกิดการงอกของกระดูกส่วนเกิน (bone spurs) ฯลฯ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลัง
ทั้งนี้ การทำกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลกับบริเวณหลังโดยตรง เช่น การยกของหนัก การออกกำลังกายผิดท่าหรือหนักเกินไป กีฬาที่ต้องใช้การปะทะของร่างกาย กิจกรรมที่มีความผาดโผน เช่น ปืนเขา รวมถึงอุบัติเหตุที่กระทบกับบริเวณหลังโดยตรง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน
ความรุนแรง
เราใช้เกณฑ์การแบ่งของ Meyerding Classification แบ่งระดับความรุนแรงของภาวะ Spondylolisthesis ได้ 5 ระดับ ดังนี้
- ระดับที่ 1 มีการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลัง 0-25%
- ระดับที่ 2 มีการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลัง 25-50%
- ระดับที่ 3 มีการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลัง 50-75%
- ระดับที่ 4 มีการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลัง 76-100%
- ระดับที่ 5 มีการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลัง 100%
การตรวจวินิจฉัย จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจละเอียดเฉพาะ เพื่อที่จะสามารถระบุระดับความรุนแรงของการเคลื่อนตัวของกระดูกสันหลัง โดยการ X-Ray และการทำ MRI ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ การคุมควบการขับถ่ายไม่เป็นปกติ ฯลฯ
กายภาพบำบัด
กายภาพบำบัดช่วยอะไรบ้าง
การรักษาทางกายภาพบำบัด ในภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อน ในกรณีที่ไม่ได้รับการผ่าตัดทางการแพทย์ จะต้องดูอาการของคนไข้เป็นหลัก ว่ามีปัญหาจากการเคลื่อนตัวของกระดูกสันหลังอย่างไรบ้าง เช่น อาการปวด ชา และอ่อนแรง เป็นต้น
อีกทั้ง กายภาพบำบัดจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเคลื่อนตัวของกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้น โดยการปรับท่าทาง การทำกิจกรรม การลดความเสี่ยงที่จะทำให้บริเวณหลังเกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้น
รวมถึงการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง และเพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลัง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวโรค และอาการของคนไข้ เพื่อการปฏิบัติตัวและการใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย
Assessment
Ultrasound
Shockwave
Electrical Stimulation
Gun Massage
Joint Mobilization
Manual Traction
Stretching
Hot/Cold Compress
Exercises
Home Program
Posture Correction
คำถามที่พบบ่อย
กายภาพบำบัด คืออะไร
กายภาพบำบัด เป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการรักษา ส่งเสริม ป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อช่วยให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การบรรเทาอาการปวด การเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว หรือการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย จากอาการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ยาและหลีกเลี่ยงการผ่าตัด แบ่งขั้นตอนการรักษาออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
Manual Techniques เป็นเทคนิคในการรักษาด้วยมือ ที่ได้รับการอบรมและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยับข้อต่อ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Mobilization) การขยับ ดัด ดึงข้อต่อ (Manipulation) การดึงคอ-ดึงหลัง (Manual Traction) และการยืดกล้ามเนื้อ (Stretching)
Modalities เป็นการใช้เครื่องมือทางกายภาพฯ เพื่อช่วยลดปวดและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องช็อคเวฟ เครื่องอัลตราซาวด์ และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
Exercises หลังจากที่อาการปวดลดลงแล้วการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ ในกรณีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จะเน้นการออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเดิน จะเน้นฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อส่วนล่างที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
กายภาพฯ จะช่วยให้คุณกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ ลดปวด และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ…
ทำไมต้อง เบรน รีแฮบ คลินิก?
คนไข้สามารถติดต่อ ปรึกษาปัญหาเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง เรามีการติดตามอาการ ผลการรักษา ตลอดจนให้คำปรึกษาในการดูแลตนเองเบื้องต้น จนกว่าจะถึงนัดหมายครั้งถัดไป
นอกจากนี้ ทั้งสาขาอโศกและสาขานนทบุรี ยังมีที่จอดรถ เดินทางสะดวก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS หรือ MRT
อะไรคือ ความแตกต่าง?
นักกายภาพฯ ของเรามีประสบการณ์ทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า คนไข้จะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
มีการรักษา 8 ขั้นตอนหรือไม่?
ไม่มี เราเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคนไข้ เช่น การกระตุ้นไฟฟ้า ไม่ได้เหมาะสมกับการรักษาทุกเคส ดังนั้น เราจึงใช้เวลาเพื่อโฟกัสกับการรักษาที่ได้ผลที่สุด
แล้วแนวทางการรักษา คืออะไร?
1. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ของนักกายภาพฯ แต่ละท่านที่มากกว่า 10 ปี คุณจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำ ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการรักษาทางกายภาพบำบัดที่มีประสิทธิภาพและตรงจุด
อาการปวดในตำแหน่งเดียวกัน อาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ประสบการณ์ของนักกายภาพฯ ที่คลินิก จะช่วยตรวจประเมิน วางแผนการรักษา และดำเนินการรักษาให้เหมาะสมกับอาการของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
หากคนไข้มีอาการที่รุนแรง น่าสงสัย หรือได้รับอุบัติเหตุ เราจะแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น X-Ray, CT Scan และ MRI เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน หากมีผลการตรวจรังสีวินิจฉัยอยู่แล้ว สามารถนำมาใช้ประกอบการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
ในบางกรณี นักกายภาพฯ ของเราจะทำงานร่วมกับแพทย์ในการวางแผนการรักษา และร่วมมือกับ Fitness Trainer ในการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด
2. Manual Therapy นักกายภาพฯ ที่คลินิกของเรา ล้วนมีความเชี่ยวชาญด้าน Manual Therapy (หัตถบำบัด) ซึ่งเป็นเทคนิคสำคัญในการบรรเทาอาการอักเสบของจุด Trigger Point ซึ่งมักเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดเรื้อรัง การรักษาประกอบด้วยหลายเทคนิค เช่น การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการตึงตัว การขยับข้อต่อและเนื้อเยื่อโดยรอบ (Mobilization) เพื่อเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว และการดึงคอ-หลัง (Manual Traction) เพื่อลดแรงกดทับต่อเส้นประสาท
เทคนิคเหล่านี้ถือเป็นแนวทางการรักษาหลักทางกายภาพฯ ของประเทศสหรัฐอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก
3. เครื่องมือ คลินิกของเรายังนำเครื่องมือที่ทันสมัย (Modalities) เช่น เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound) และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) มาประกอบการรักษา เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ฯลฯ
ทั้งนี้ นักกายภาพฯ จะเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการรักษาของแต่ละอาการ เช่น ผู้ที่มีภาวะกระดูกเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องช็อคเวฟ (Shockwave) ในการรักษาบริเวณนั้นๆ เพื่อความปลอดภัย เป็นต้น
4. การออกกำลังกาย (Therapeutic Exercises) เป็นอีกหนึ่งในวิธีการรักษาหลักทางกายภาพฯ ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ให้มีความสมดุลกันทั้งสองฝั่ง ช่วยทำให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว (Increase Range of Motion) และป้องกันอาการบาดเจ็บซ้ำๆที่จุดเดิม
นอกจากนี้ ยังช่วยปรับท่าทางในการใช้ชีวิตประจำวัน (Posture Correction) ไม่ว่าจะเป็นท่านอน ท่านั่ง ท่ายืนและท่าเดิน ให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บในอนาคต
5. ให้ความรู้เกี่ยวกับตัวโรคและติดตามผลการรักษา เรามุ่งเน้นให้คนไข้มีความเข้าใจเกี่ยวกับรอยโรคหรือภาวะที่เป็นอยู่ เพื่อที่จะปฎิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม และเพื่อหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ นอกจากนี้ เรายังติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง ให้คำปรึกษา คำแนะนำ จนกว่ามั่นใจว่า คนไข้จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างมั่นใจ
สำหรับผู้ที่กำลังมองหา “คลินิกกายภาพบำบัด ใกล้ฉัน” ควรสอบถามแนวทางการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางการรักษานั้นเหมาะสมกับตนเอง และอาการที่เป็น อีกทั้ง ควรเลือกคลินิกที่มีนักกายภาพฯ ที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการตรวจร่างกายได้อย่างตรงจุด เพื่อการรักษาที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หายเร็ว หายขาด ปลอดภัย และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ท่านสามารถปรึกษาอาการเบื้องต้นกับเรา ได้ทางโทรศัพท์หรือทาง LINE OA
หากไม่รักษา เดี๋ยวอาการปวดก็หายไปเอง ใช่หรือไม่?
ร่างกายของเรามีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองได้ แต่เนื่องจาก เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวหรือใช้งานตลอดเวลา ทำให้การซ่อมแซมตัวเองเป็นไปได้ยากมากขึ้น หากมีอาการปวดที่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน แนะนำให้เข้ามารักษาทางกายภาพฯ จะช่วยให้หายไวขึ้น อาการปวดจากการบาดเจ็บลดลง และป้องกันไม่ให้อาการเรื้อรัง
ควรเข้ารับการรักษากี่ครั้ง ความถี่เท่าไหร่?
ขึ้นอยู่กับอาการ เช่น อาการเส้นเอ็นอักเสบจะใช้เวลารักษานานกว่ากล้ามเนื้ออักเสบ ส่วนโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในบางกรณีสามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ควรเข้ารับการรักษาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อความต่อเนื่องของการรักษาและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
แม้ว่าระดับความทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการ จะช่วยให้หายเร็วและไม่เรื้อรัง
อาการดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องรักษาต่อหรือหยุดการรักษาได้ จริงหรือไม่?
การรักษาทางกายภาพฯ จำเป็นต้องใช้ความต่อเนื่องในการเข้ารับการรักษา เพื่อให้หายขาด และป้องกันไม่ให้อาการกลับมา เนื่องจากคลื่นไฟฟ้าที่ใช้ในการรักษา จะได้ผลเฉพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น หากคนไข้หยุดการรักษากลางคัน ก็เปรียบเสมือนกับการรับประทานยาที่ไม่ครบโดส ซึ่งอาจทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ หรือกลายเป็นอาการเรื้อรังได้
จากสถิติของทางคลินิกฯ คนไข้ที่ได้รับการรักษาจนหายขาด จะไม่กลับมาเป็นซ้ำที่ตำแหน่งเดิม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับพฤติกรรมของคนไข้ด้วย
การออกกำลังกายโดยนักกายภาพฯ แตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปอย่างไร?
การออกกำลังกายทางกายภาพฯ ไม่ได้เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเราจะเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณที่มีปัญหา และออกแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จุดเดิม
นอกจากการรักษาแล้ว ยังเหมือนมีเทรนเนอร์ส่วนตัว ที่ช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลในการรักษาแต่ละครั้ง ให้เหมาะกับสภาพกล้ามเนื้อ ณ ขณะนั้น
โรคอะไรที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีทางกายภาพฯ?
นัดหมาย
085-9966-353Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
Business Hours
วันเสาร์-อาทิตย์: 9.30 - 18.30 น.
Location
Parking
ที่จอดรถ เลี้ยวเข้าซอย อยู่หัวมุม