BELL’S PALSY เป็นโรคที่มีการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 โดยภาวะปกติ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 จะมาทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อของใบหน้าทั้งด้านบนและด้านล่าง ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าได้ มักเกิดได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุที่ชัดเจนยังไม่แน่ชัด สมมุติฐานที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในปัจจุบัน คือ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคเริม ไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส รวมถึงไวรัสตัวอื่นๆ อีกด้วย

ส่วน RAMSAY HUNT SYNDROME เป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัดโดยตรง เกิดจากการที่เชื้อไวรัสเข้าไปจู่โจมเส้นประสาทสมอง ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ปวดหู การได้ยินลดลง เวียนหัว เกิดตุ่มน้ำภายในหู เสียการรับรู้รสชาติอาหาร รวมถึงใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งเบี้ยว

อาการของ BELL’S PALSY และ RAMSAY HUNT SYNDROME เป็นอย่างไร

ทั้งสองโรค ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหลังหู กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ตาปิดไม่สนิท หนังตาตกและมุมปากตก

ในขณะเดียวกัน BELL’S PALSY ผู้ป่วยจะไม่มีผื่นแดง และมีอาการปวดน้อยมาก

แต่ RAMSAY HUNT SYNDROME จะมีผื่นแดง มีไข้ ท้องเสีย มีตุ่มน้ำ การได้ยินมีปัญหา รวมถึงมีอาการปวดแสบมาก

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการ BELL’S PALSY และ RAMSAY HUNT SYNDROME มีอะไรบ้าง

- การตั้งครรภ์ หรือหลังคลอด
- โรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อ้วน เป็นต้น
- ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ
- อาการป่วยด้วยโรคอื่นทำให้ร่างกายอ่อนแอ

การรักษา BELL’S PALSY และ RAMSAY HUNT SYNDROME ทำได้อย่างไรบ้าง

- การใช้ยาสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบของเส้นประสาท ควรเริ่มใช้หลังจากเกิดอาการภายใน 72 ชั่วโมง โดยจะต้องรับประทานยาประมาณ 2 สัปดาห์อย่างต่อเนื่อง และจะมีการปรับยาตามที่แพทย์แนะนำ
- ใช้ยาฆ่าเชื้อไวรัส จะใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริม และงูสวัด

ส่วนการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัด ประกอบด้วย
- กระตุ้นกล้ามเนื้อหน้าด้วยไฟฟ้า (Probe)
- นวดคล้ายกล้ามเนื้อที่ตึงตัว
- ประคบอุ่น
- ออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นประจำ